Set up
การเชื่อมต่อ WH-1000XM4 นั้นยังคงเหมือนกับหูฟังไร้สายของ Sony รุ่นอื่น ๆ ที่เราสามารถเชื่อมต่อแบบ Bluetooth ปกติ หรือนำอุปกรณ์ไปแตะตรงเสาอากาศ NFC เพื่อเชื่อมต่อได้ แต่สำหรับสมาร์ทโฟน Android เวอร์ชั่น 6 ขึ้นไป เราสามารถใช้ความสามารถ Fast Pair ได้ เพียงกดปุ่ม Power ค้าง 7 วินาทีเพื่อให้ตัวหูฟังเข้าสู่โหมด Pairing แล้วจะมี Notification ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอโทรศัพท์เลย
หากเราเชื่อมต่อด้วย Fast Pair และเพิ่มหูฟังลงในบัญชี Google ของเรา เราจะสามารถใช้ความสามารถ Find Device เพื่อสั่งให้หูฟังเล่นเสียงริงโทนของสมาร์ทโฟนเรา เพื่อช่วยระบุตำแหน่งของหูฟัง โดยมีข้อแม้ว่าตัวหูฟังต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนอยู่
ส่วนการเชื่อมต่อแบบ Multipoint นั้น ให้เราเชื่อมต่อหูฟังเข้ากับอุปกรณ์เครื่องแรกที่มีแอพ Headphones Connect ก่อน จากนั้นให้เราเปิดใช้งานความสามารถ Multipoint Connection ในหน้า System จากนั้นกลับมาที่หน้า Status แล้วกดลูกศรตรง Device Currently Being Connected เพื่อเข้าเมนู Manage Connected Device แล้วกดปุ่ม +
ตัวหูฟังจะเข้าสู่โหมด Pairing กับอุปกรณ์ตัวที่สอง ให้เราทำการค้นหาหูฟังและสั่ง Pairing ที่อุปกรณ์ตัวที่สอง ก็เป็นอันเรียบร้อย หากใครต้องการนำไปต่ออุปกรณ์ที่ไม่สามารถลงแอพควบคุมได้ทั้งสองเครื่อง เช่น คอมพิวเตอร์ ให้เราเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ตัวแรกล่วงหน้าแบบปกติเพื่อให้หูฟังจดจำการ Pairing ได้ก่อน แล้วใช้แอพบนสมาร์ทโฟนเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องที่สอง แล้วตัดการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เพื่อให้คอมพิวเตอร์เครื่องแรกกลับมาเชื่อมต่อหูฟังครับ
หากใครต้องการเชื่อมต่อ Multipoint แบบเดิมคือเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่านโปรไฟล์ HFP และ A2DP แยกกัน ก็ยังสามารถทำได้เช่นเดิมครับ ด้วยการปิดความสามารถ Multipoint Connection แล้วไปจัดการเลือกโปรไฟล์ที่ต้องการเชื่อมต่อผ่านหน้าตั้งค่า Bluetooth ของอุปกรณ์ที่เราใช้งาน อย่างบน Android ก็คือ Phone calls และ Media audio ครับ
Performance
WH-1000XM4 นั้นสร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่ตอนจับกล่อง จนกระทั่งเปิดเอาตัวหูฟังออกมาจากกระเป๋า ซึ่งให้ความรู้สึกเป็นของดีมีราคา ตัวหูฟังมีผิวสัมผัสที่ดีมาก ให้ความรู้สึกถึงวัสดุกระเบื้องมากกว่าเป็นพลาสติกมันเหมือนในหูฟังรุ่นล่างกว่า
การสวมใส่ทำได้ดีขึ้นกว่าหูฟัง Sony ที่ผมใช้งานอยู่ประจำ คือตัวหูฟังจะเกาะอยู่บนศีรษะได้ดีกว่า แต่ไม่สร้างแรงกดเพิ่มเติมเลย ซึ่งตามปกติผมจะเลื่อนก้านหูฟังให้หลวมนิดหน่อย แล้วค่อยปรับให้ก้านมันบีบศีรษะมากขึ้น เพื่อไม่ให้มันหลุด แต่กับ WH-1000XM4 ผมไม่ต้องปรับก้านให้ออกแรงบีบมากขนาดนั้น เสียงการเคลื่อนไหวของข้อต่อนั้นแทบไม่มี ส่วนตัวแพดหูฟังนั้นสามารถป้องกันเสียงย่านความถี่กลางและสูงได้ดี มีเสียงย่านความถี่ต่ำหลุดเข้ามาบ้าง ซึ่งก็จะถูกระบบตัดเสียงรบกวนขจัดออกไป
แนวเสียงของ WH-1000XM4 ยังคงแนวเสียง Hi-Res Audio ตามแบบฉบับ Sony ที่ได้ยินจากหูฟังตระกูล 1000X รุ่นก่อนหน้าเอาไว้ คือมีย่านเสียงกลางที่เปิดและสว่าง เบสปริมาณพอเหมาะและลงย่านความถี่ได้ลึก เสียงแหลมที่เป็นประกาย แต่ไม่คมบาดหู มิติเสียงที่ฟังดูกว้าง และมีการแยกรายละเอียดที่ดี ซึ่งเป็นแนวเสียงที่เหมาะแก่การฟังเพลงได้หลากหลายแนว ไม่จำกัดที่แนวใดแนวหนึ่งเหมือนแนวเสียงหูฟังตระกูล Extra Bass
อย่างไรก็ตาม ย่านเสียงเบสของ WH-1000XM4 ไม่สามารถปรับให้มีปริมาณมาก ๆ ได้เท่ากับ WH-XB900N ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อจำกัดของตัวชุดขับและช่องอากาศที่มีความแตกต่างกัน แต่ปริมาณเบสของ WH-1000XM4 นั้นมีเพียงพอที่จะสนองความต้องการของนักฟังเสียงเบสหนัก ๆ ได้
การเชื่อมต่อ Bluetooth นั้น WH-1000XM4 ทำได้ดีกว่า WH-XB900N มาก ทั้งในเรื่องของระยะทางและความเสถียรของสัญญาณ ผมสามารถใช้ตั้งค่าการเชื่อมต่อเพื่อเน้นคุณภาพเสียง ซึ่งใช้ LDAC เป็น A2DP codec ได้ โดยแทบสัญญาณแทบจะไม่ขาดเลย คุณภาพเสียงของการใช้งานผ่าน Bluetooth จัดว่าดีมากทั้ง AAC และ LDAC โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน DSEE Extreme ที่ชดเชยเสียงย่านแหลม ทำให้เสียงที่ได้จาก codec ทั้งสองฟังดูไม่มีความแตกต่างมากนัก
เมื่อเทียบกับเสียงตอนเสียบตรงด้วยแจ็ค 3.5 ผ่าน RME Babyface Pro แล้ว เสียงจาก Bluetooth จะมีย่านเสียงเบสลึก ๆ น้อยกว่าเล็กน้อย แต่มีย่านเสียงกลางที่ดูหนาและมีย่านเสียงแหลมที่คมเป็นประกายกว่าจาก DSEE Extreme ซึ่งส่วนตัวผมชอบเสียงตอนต่อ Bluetooth มากกว่า
ส่วนความสามารถ Multipoint ตัวใหม่นั้นสามารถทำงานได้ดีตามที่ควรจะเป็น ในการเล่นเพลงหูฟังจะยึดเสียงจากอุปกรณ์ที่กำลังเล่นอยู่ก่อนเป็นหลัก ถ้าจะเล่นเพลงจากอุปกรณ์อีกตัว เราต้องหยุดเพลงที่อุปกรณ์ที่กำลังเล่นก่อน จึงจะได้ยินเสียงและควบคุมเพลงของอีกเครื่องได้ ส่วนการรับสายนั้นหากเราได้ยินเสียงเรียกเข้าจากเครื่องใดที่หูฟัง เมื่อกดรับก็จะรับสายจากโทรศัพท์เครื่องนั้น
ระบบตัดเสียงรบกวนของ WH-1000XM4 ยังคงประสิทธิภาพที่ดีเหมือนเดิม ที่สามารถตัดเสียงรบกวนได้ดีโดยที่ไม่ไปรบกวนกับย่านเสียงที่เราต้องการฟังมากนัก ผมเองไม่มีหูฟังรุ่นก่อนหน้าที่จะมาเปรียบเทียบว่าการตัดเสียงรบกวนในย่านความถี่กลางและสูงนั้นดีกว่าตามที่นักพัฒนาให้สัมภาษณ์ไว้หรือไม่ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ WH-XB900N แล้ว ก็เรียกได้ว่า WH-1000XM4 นั้นทิ้งห่างไปไกลมาก มันสามารถขจัดเสียงแอร์ เสียงพิมพ์คีย์บอร์ด และเสียงพูดคุยไกล ๆ ในออฟฟิศได้อย่างหมดจด การใช้งานในรถยนต์ก็สามารถขจัดเสียงลม เสียงเครื่องยนต์ได้อย่างอยู่หมัด เหลือเพียงเสียงความถี่สูงจากรถยนต์ที่วิ่งผ่าน
อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าระบบตัดเสียงรบกวนนั้นทำงานได้ดีเกินไป คือเสียงมันเงียบมากจนทำให้ผมรู้สึกปวดหูลักษณะเดียวกับเราขึ้นไปที่สูงแล้วหูปรับความดันไม่ทัน ผมเลยปรับ Ambient Sound ให้มีเสียงจากภายนอกหูฟังเข้ามาบ้าง ซึ่งก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหูแบบนี้ลงไปได้บ้าง
สำหรับไมโครโฟนที่เป็นจุดเด่นของ WH-1000XM4 ผมได้ต่อหูฟังกับคอมพิวเตอร์ผ่าน Bluetooth แล้วทำการบันทึกเสียงพูดดู เสียงพูดที่บันทึกมีความดังชัดเจน แต่ฟังดูก้องเล็กน้อย เสียงแอร์ในห้องเงียบจนแทบไม่ได้ยิน จะได้ยินก็แต่เสียงแหลมจากการพิมพ์บนคีย์บอร์ด ThinkPad แรง ๆ ที่ยังคงติดมาให้ได้ยินบ้างเล็กน้อย แต่ไม่บดบังเสียงพูด นอกจากนี้ผมยังได้ลองเปิดพัดลมเป่าขณะอัดเสียงดูด้วย ซึ่งเสียงพัดลมยังดังติดเข้ามาในไมค์ แต่ก็ไม่กลบเสียงพูดจนฟังไม่รู้เรื่อง โดยรวมแล้วผมถือว่าทำได้ดีทีเดียว แต่เนื่องจากผมไม่มีหูฟังรุ่นที่แล้วอยู่ จึงไม่แน่ใจว่าดีขึ้นกว่าเดิมมากไหม
ความสามารถใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่าง Speak-to-Chat นั้นมีประโยชน์มาก เพราะผมสามารถสวมหูฟังเพื่อพูดคุยกับคนอื่นขณะทำงานได้โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก และไม่ต้องเอามือไปแตะที่เซนเซอร์เพื่อใช้ Quick Attention เหมือนหูฟังรุ่นก่อนหน้า อย่างไรก็ตามผมพบว่าตัวหูฟังยังคงใช้เวลาเล็กน้อยในการตรวจจับการสนทนา และมีการตรวจจับเสียงพลาดไปบ้าง เช่น ตรวจจับเสียงได้ยินเสียงตกใจของคนทำงานที่อยู่โต๊ะใกล้กัน แต่โดยรวมแล้วถือว่าทำตามได้ที่โฆษณาไว้
เรื่องอายุของแบตเตอรี่ ทาง Sony เคลมอายุการใช้งานเอาไว้ 30 ชม. ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้งเท่ากับหูฟังรุ่นที่แล้ว ซึ่งเงื่อนไขอายุการใช้งาน 30 ชม. เราจะต้องใช้ codec แบบ SBC หรือ AAC และเปิดเฉพาะระบบตัดเสียงรบกวนเท่านั้น เมื่อเราเริ่มเปิดใช้งานความสามารถอื่น เช่น DSEE Extreme และ Ambient Sound Control อายุการใช้งานจะลดลงไปตามตารางที่ Sony ระบุไว้ใน Help Guide
ผมได้ใช้หูฟังที่ปริมาณแบตเตอรี่ประมาณ 90% เปิดใช้งาน LDAC, DSEE Extreme, Speak-to-Chat แล้วฟังเพลงผ่าน Xperia 1 สลับกับการใช้งานความสามารถ Multipoint โดยยังคงเปิด DSEE Extreme และ Speak-to-Chat ไว้ โดยเชื่อมต่อระหว่าง Xperia 1 กับ iPhone SE 2020 และ VAIO Duo 11 กับ ThinkPad X1 Extreme Gen 2 ตัวหูฟังสามารถทำงานได้นานประมาณ 7 ชม. จึงเริ่มเตือน Low Battery
เมื่อเปรียบเทียบกับ WH-1000XM3 ผมคิดว่า WH-1000XM4 นั้นกินพลังงานมากกว่ามาก โดยความสามารถที่ใช้พลังงานมากกว่าเดิมคือ DSEE Extreme ซึ่งเมื่อเปิดใช้แล้ว จะอายุการใช้งานหูฟังจะลดลงมากกว่า DSEE HX ของ WH-1000XM3 และความสามารถใหม่อย่าง Speak-to-Chat ซึ่งเมื่อเปิดแล้ว จะทำให้อายุการใช้งานหูฟังลดลงไปมากถึง 30% เมื่อไม่ใช้งานความสามารถดังกล่าวแล้ว อายุการใช้งานหูฟังจะใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า
ส่วนการชาร์จไฟนั้น ผมใช้ที่ชาร์จ Sony UCH 12 ของสมาร์ทโฟน Xperia ที่สามารถจ่ายไฟได้ 5V 2.7 A มาชาร์จตัวหูฟัง ใช้เวลาในการชาร์จไฟจนเต็มประมาณเกือบ 2 ชม. ซึ่งคิดว่าน่าจะใกล้เคียงการชาร์จด้วยกำลังไฟ 1.5 A เป็นเวลา 3 ชม. ที่ Sony ระบุไว้พอดี
สำหรับปัญหาในการใช้งานนั้น ผมเองไม่พบปัญหาการใช้งานใด ๆ นอกจากสัญญาณเสียงที่มีสดุดบ้างเมื่อใช้งาน LDAC แต่ก็จัดว่าน้อยกว่าตอนใช้ WH-XB900N และ MDR-1ABT ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะ LDAC นั้นใช้แบนด์วิดท์ที่กว้าง ส่วนความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มมาก็สามารถทำงานได้เป็นอย่างดีตามที่โฆษณาไว้
Conclusion
หลังจากที่ใช้งานเจ้า WH-1000XM4 มาร่วม 10 วัน ผมคิดว่ามันยังคงเป็นผู้นำของหูฟังตัดเสียงรบกวนในกลุ่มพรีเมี่ยมของมันได้อยู่ จุดด้อยได้รับการปรับปรุง ความสามารถที่ขาดได้ถูกเพิ่มเติมลงไป และจุดดีก็ถูกปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามตัว A2DP codec อย่าง aptX และ aptX HD และตัวปรับแต่งเสียงอย่าง VPT และ Sound Position Control ได้ถูกนำออกไป ซึ่งผมมองว่าในกรณีตัวปรับแต่งเสียงทางทีมพัฒนาคงนำออกเพื่อให้สามารถใส่ความสามารถใหม่ลงไปได้ ซึ่งผมเองคิดว่าเป็นความสามารถที่น้อยคนจะใช้งาน แต่ aptX ผมมองว่าคงเกิดจากที่ทาง Sony ไม่ได้ใช้งาน Bluetooth SoC ที่ไม่ได้เป็นของ Qualcomm (เดิม CSR) ที่ใช้งานมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าคุณภาพเสียงของ WH-1000XM4 จะจัดว่าดีมาก แม้จะใช้เพียง codec บีบอัดที่สูญเสียข้อมูลไปมากก็ตาม แต่ก็น่าจะเป็นจุดที่ทำให้คนลังเลได้เหมือนกัน
ส่วนคนที่ใช้งานหูฟังตระกุล WH-1000X ถ้าคุณใช้รุ่น M2 หรือ M3 อยู่ แล้วไม่ได้ใช้หูฟังเพื่อการสนทนา ผมคิดว่าหูฟังตัวเดิมน่าจะยังตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ที่กำลังมองหาหูฟังตัดเสียงรบกวนตัวใหม่อยู่ ผมคิดว่า WH-1000XM4 เป็นตัวเลือกที่ไม่น่าสร้างความผิดหวังให้กับคุณครับ
Like
- ออกแบบสวยงาม ดูหรูหรา
- สวมใส่สบายไม่บีบหู
- แนวเสียงฟังเพลงได้กว้างหลากหลายแนว
- คุณภาพการส่งสัญญาณ Bluetooth ดี
- ระบบตัดเสียงรบกวนที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นไปอีก
- ไมโครโฟนจับเสียงสนทนาได้ดี
- ความสามารถใหม่ทำงานได้ดีตามโฆษณาไว้
Don’t like
- ไม่รองรับ codec แบบ aptX และ aptX HD เหมือนในรุ่นที่แล้ว
- ระบบตัดเสียงรบกวนทำงานดีเกินไป อาจทำเกิดอาการปวดหูได้
- ความสามารถใหม่อย่าง DSEE Extreme และ Speak-to-Chat ใชัพลังงานแบตเตอรี่มาก ทำให้อายุการใช้งานน้อยกว่ารุ่นเดิม
ขอขอบคุณทาง Sony Thai ที่เอื้อเฟื้อหูฟังเพื่อการรีวิวด้วยครับ
Pingback: Sony Japan เปิดตัวหูฟัง WH-1000XM4 สีพิเศษ Silent White | RE.V –>
Pingback: Sony เปิดตัว WF-1000XM4 หูฟัง Truly Wireless ตัดเสียงรบกวนระดับไฮเอนด์รุ่นใหม่ | RE.V –>
Pingback: ลองฟัง ลำโพงไร้สายแบบคล้องคอ Sony SRS-NB10 | RE.V –>
Pingback: มาทำความรู้จัก DSEE เทคโนโลยีปรับปรุงคุณภาพเสียงจาก Sony กันเถอะ ตอนที่ 2 | RE.V –>