ส่วนของการเล่นเพลงก็สามารถทำได้เหมือนโปรแกรมเล่นเพลงทั่ว ๆ ไป มีส่วนจัดคิวเพลงที่จะเล่น (Play queue) ซึ่งเมื่อเราเลือกเพลง เพลงที่เลือกก็จะมาต่ออยู่ในคิวนี้ ต่อกันไปเรื่อย ๆ หากเราชอบเพลงที่อยู่ในคิวก็กดบันทึกเป็น playlist เก็บเอาไว้ได้
สำหรับแอพของบน Android สามารถควบคุมการเล่นเพลงผ่านหน้าจอ Lock screen ได้ และหากอุปกรณ์ของเรามีปุ่มควบคุมการเล่นเพลง เช่น ปุ่มควบคุมบน Walkman ก็สามารถใช้ปุ่มเหล่านี้ควบคุมแอพได้ด้วย
ความพิเศษของการใช้งาน TIDAL บนอุปกรณ์พกพา คือความสามารถในการโหลดเพลงที่ต้องการเล่นเก็บไว้บนอุปกรณ์ แล้วเปิดฟังแบบ offline ได้ ซึ่งวิธีการทำก็แสนง่ายได้ เพียงเข้าไปดูอัลบั้มหรือ playlist ที่ต้องการ แล้วเลื่อนสวิตช์ offline เท่านั้น ตัวแอพจะทำการดาวน์โหลดเพลงคงมาในอุปกรณ์ตามคุณภาพที่เราตั้งค่าไว้ เมื่อโหลดเสร็จแล้ว เราก็สามารถเข้ามาในเมนู Offline content เพื่อเล่นเพลงที่โหลดมาได้
บัญชี TIDAL 1 บัญชี จะสามารถใช้งาน Offline content ได้บนอุปกรณ์สูงสุด 3 เครื่อง และใช้งานแบบ online ได้สูงสุด 1 เครื่องพร้อมกันครับ
ในส่วนของการตั้งค่า web player นอกจากเรื่องการจัดการบัญชีผู้ใช้ การเชื่อมต่อกับ Facebook และ Last.fm ยังมีการตั้งค่าคุณภาพของการสตรีมเพลง ซึ่งเราสามารถเลือกคุณภาพการบีบอัดได้ 3 ระดับ คือ
- Normal เข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบ AAC+ (ชื่อตามมาตรฐาน HE-AAC) ที่ bit rate 96 kbps
- High เข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบ AAC ที่ bit rate 320 kbps
- HiFi เข้ารหัสสัญญาณเสียงแบบ FLAC ที่ bit rate 1411 kbps
ความละเอียดของสัญญาณเสียงของ TIDAL อยู่ที่ 16-bit 44.1 kHz ซึ่งเทียบเท่ามาตรฐาน Audio CD
เมื่อเราเลือกคุณภาพการบีบอัดแบบ HiFi ในหน้าจอ player โลโก้ HiFi จะสว่างขึ้นมา อย่างไรก็ตามยังมีเพลงบางส่วนที่ไม่สามารถเลือกคุณภาพ HiFi ได้ เราก็จะฟังได้แค่คุณภาพระดับ High หรือต่ำกว่าครับ
ส่วนการตั้งค่าของแอพบนอุปกรณ์พกพา จะเพิ่มเติมในส่วนของการตั้งค่าการโหลดเพลงแบบ offline และสามารถตั้งค่าคุณภาพของการสตรีมเพลงและการโหลดเพลงแบบ offline แยกจากกันได้ นอกจากนี้ยังสามารถให้แอพกำหนดคุณภาพเองตามความเร็วของการเชื่อมต่อได้อีกด้วย
สำหรับข้อแตกต่างสำหรับ codec ทั้ง 3 ตัว คือ AAC+ และ AAC จะเป็นการเข้ารหัสเสียงแบบ lossy คือ ระหว่างการเข้ารหัสจะมีการตัดทอนข้อมูลบางส่วนที่ไม่สำคัญออกไป เช่น ช่วงความถี่เสียงที่มนุษย์ไม่สามารถได้ยิน และเมื่อนำสัญญาณที่เข้ารหัสมาเล่นกลับ ก็จะไม่สามารถนำข้อมูลที่โดนตัดทอนไปคืนมาได้
ผังอธิบายการเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี SBR ที่มา : Coding Technologies
AAC+ จะแตกต่างจาก AAC คือใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Spectral band replication (SBR) มาเพิ่มประสิทธิภาพการเข้ารหัส โดยการให้เข้ารหัสเฉพาะช่วงความถี่ต่ำและความถี่กลาง ส่วนช่วงความถี่สูงจะให้ตัวถอดรหัสสร้างขึ้นมาใหม่ โดยการยกระดับฮาร์โมนิคจากช่วงความถี่ต่ำและกลางร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ ที่ใส่มาในสัญญาณ ทำให้คงคุณภาพเสียงที่ bit rate น้อย ๆ ได้
ส่วน FLAC นั้นจะเป็นการเข้ารหัสเสียงแบบ lossless คือระหว่างการเข้ารหัส จะไม่มีการตัดทอนข้อมูลใด ๆ ออกไป และสามารถนำข้อมูลต้นฉบับกลับมาเมื่อนำสัญญาณมาเล่นกลับได้
เมื่อเทียบความแตกต่างของเพลงที่คุณภาพทั้ง 3 ระดับแล้ว ตัว AAC+ นั้นให้เสียงที่อุดอู้ไม่ชัดเจน ความดังของเสียงค่อนข้างเบา คุณภาพเสียงโดยรวมทำได้พอ ๆ กับเสียงในวิดีโอของ Youtube ในขณะที่ AAC นั้นให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า AAC+ แบบเห็นได้ชัด ส่วน FLAC นั้น ถ้าเทียบกับ AAC แล้ว ค่อนข้างแยกความแตกต่างได้ยาก เพราะตัว AAC ของ TIDAL เอง ก็เข้ารหัสที่ bit rate สูงกว่า AAC ที่ไว้เข้ารหัสเพลงที่ขายใน iTunes Store เสียอีก
นอกจากนี้การเลือกคุณภาพแบบ FLAC นั้นต้องการความเร็วอินเตอร์เน็ตที่มากและเสถียรพอสมควร ถึงจะเล่นได้อย่างไม่กระตุก ซึ่งอย่างบ้านของผมใช้อินเตอร์เน็ตความเร็ว 20 Mbps ก็ยังมีกระตุกบ้างเป็นบางครั้ง และตอนเริ่มเล่นเพลงแรกทุกครั้ง ตัว player จะใช้เวลา buffer ข้อมูลนานพอสมควรถึงจะเริ่มเล่นได้ จากนั้นเพลงต่อมาในคิวก็จะถูกตัว player แอบโหลดมาเก็บไว้ล่วงหน้าก่อน แต่ถ้าเรามีการกดข้ามเพลงในคิว ก็ต้องรอ buffer ใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามถ้าอินเตอร์เน็ตที่ใช้งานมีความเร็วไม่มากนักหรือมีความเสถียรต่ำ เช่น ต้องแชร์ความเร็วร่วมกับคนอื่น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่นเพลงด้วยคุณภาพ FLAC โดยไม่กระตุกหรือใช้เวลา buffer ไม่นาน ทำให้ต้องลดคุณภาพลงมาเพียง AAC หรือ AAC+ เพื่อให้สามารถเล่นเพลงได้อย่างต่อเนื่องแทน
Conclusion
จากการใช้บริการ TIDAL มาสักพักใหญ่ สิ่งที่ผมประทับใจอย่างแรกคือการมีคลังเพลงขนาดใหญ่ ที่เราอยากจะฟังเพลงไหนก็กดค้นหาศิลปินที่ต้องการ แล้วเลือกเพลงมาฟังได้เลย ซึ่งถ้าใครเป็นคอเพลงสากลยอดนิยม ก็น่าจะหาเพลงยอดนิยมในระบบมาฟังไม่ยากนัก รวมทั้งการเล่นเพลงแบบ offline บนอุปกรณ์พกพา ที่ช่วยให้เราสามารถฟังเพลงบน TIDAL ในสถานที่ที่การเชื่อมต่อไม่อำนวย หรือต้องการประหยัดโควต้าการใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
ส่วนจุดขายของ TIDAL ในเรื่องของคุณภาพเสียง จริง ๆ แค่คุณภาพระดับ High ก็เพียงพอต่อการฟังแบบทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าใครมีชุดเครื่องเสียงที่มีประสิทธิภาพ ก็น่าจะได้ประโยชน์จากเพลงในคุณภาพแบบ HiFi ซึ่งนอกเหนือจากการใช้การเข้ารหัสที่เหนือกว่าผู้ให้บริการเจ้าอื่นแล้ว TIDAL เองน่าจะได้ต้นฉบับที่มีคุณภาพเพียงพอจากทางค่ายเพลง ในการนำมาเข้ารหัสในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้บริการอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม TIDAL เองก็ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวอยู่อีกมาก ในกลุ่มผู้ฟังทั่วไป ก็มีบริการ Music streaming เจ้าอื่น ๆ ที่ตอนนี้ก็มีบางเจ้าเริ่มให้บริการเพลงแบบ lossless แล้ว เช่น Deezer Elite ในส่วนกลุ่มนักฟังเพลงจริงจัง ก็ต้องไปสู้กับร้านค้าที่ขายเพลงความละเอียดสูง ซึ่งถึงแม้ว่าราคาต่อเพลงจะค่อนข้างสูง แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็ยังยินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับคุณภาพอยู่ ถึงแม้ว่า TIDAL เองจะได้ตกลงกับ Meridian ในการนำการเข้ารหัสสำหรับเสียงความละเอียดสูงอย่าง MQA เพื่อเตรียมนำมาให้บริการสตรีมเพลงในรูปแบบความละเอียดสูงเหมือนกัน แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ
ผมคิดว่าตัวบริการ TIDAL โดยเฉพาะสมาชิกแบบ HiFi เองน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ต้องซื้อซีดีเพลงสากลทุก ๆ เดือน ซึ่งถ้าเปลี่ยนจากการซื้อแผ่น มาเป็นการสมัครสมาชิก TIDAL HiFi ก็จะสามารถเข้าถึงเพลงคุณภาพระดับเดียวกับในแผ่นซีดีได้มากกว่า การซื้อแผ่นเพลงเสียอีก ถ้าใครมีลักษณะการฟังเพลงแบบนี้ TIDAL เองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจครับ
Like
- มีจำนวนเพลงให้เลือกฟังได้เยอะ
- คุณภาพเสียงดีเทียบเท่าเพลงที่ซื้อแบบดาวน์โหลด
- การเล่นเพลงแบบ offline บนอุปกรณ์พกพาได้
Don’t like
- ระบบค้นหายังไม่ฉลาดและมีปัญหาอยู่บ้าง
- ต้องการความเร็วอินเตอร์เน็ตที่สูงและเสถียรสำหรับการสตรีมเพลงคุณภาพ HiFi
- ยังมีเพลงบางส่วนที่ยังไม่สามารถฟังด้วยคุณภาพ HiFi ได้
- Web player ยังไม่สามารถเล่นเพลงแบบ offline ได้
More info
ขอขอบคุณ TIDAL และ Blognone ที่ได้ให้โอกาสในการรีวิว TIDAL ด้วยครับ
Tidal นี่มีเพลงของวง AKB48 กับพวก Anime ไหมครับ
ผมเคยค้นเจอ แต่กดเล่นไม่ได้ครับ
Pingback: ลองฟังเพลงในระบบเสียง 360 Reality Audio และ Dolby Atmos ที่ TIDAL | RE.V –>