Product – Software
สำหรับซอฟต์แวร์ของ Walkman ZX300 ยังคงใช้ระบบปฏิบัติการที่มีพื้นฐานมาจาก UNIX แบบเดียวกับที่ใช้ใน Walkman รุ่นปี 2016 โดยเครื่องที่ผมได้รับมามีเวอร์ชั่นเฟิร์มแวร์ 1.10 ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นล่าสุดตอนที่ผมเขียนรีวิวนี้
ผมเองได้เคยเขียนรายละเอียดของ OS ตัวนี้ไปตอนที่รีวิว Walkman A30 แล้ว ผมจึงจะขอเขียนเฉพาะการทำงานต่าง ๆ ที่ถูกเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมเข้ามาใหม่จากรีวิวคราวก่อนเท่านั้นครับ
ในหน้า library top screen ของ ZX300 จะมี function button เพื่อใช้งานความสามารถ USB DAC ที่จะเขียนถึงต่อไป และไม่มีความสามารถ Language Study ของ Walkman A มาด้วย
ส่วนตัวประมวลผลเสียงนั้น เรียกได้ว่ายกเอาตัวประมวลผลและรูปแบบการใช้งานมาจาก Walkman WM1 ทั้งหมด ทั้ง Equalizer แบบ 10 ย่านความถี่ และ Tone Control ซึ่งเป็น EQ แบบ 3 ย่านความถี่ ซึ่งออกแบบให้ปรับเสียงในย่านเบส, กลาง และสูงได้อย่างรวดเร็ว
ตัว Equalizer เองจะแตกต่างจากของ Walkman A30 ที่ผมเคยรีวิวไปคราวที่แล้ว คือนอกจากจะมีจำนวนย่านให้ปรับมากกว่าแล้ว การปรับเพิ่ม – ลดค่ายังทำได้ละเอียดกว่า คือปรับได้ทีละ 0.5 แต่ก็จะไม่มี preset แบบต่าง ๆ มาให้อีกแล้ว ส่วน Tone Control สามารถปรับเพิ่ม – ลดได้ทีละ 1 สูงสุดที่ +/- 10
ตัวประมวล DSEE HX ซึ่งทำหน้าที่ upsampling และปรับคุณภาพสัญญาณเสียงให้เทียบเท่าไฟล์เสียงความละเอียดสูง จะมีรูปแบบการตั้งค่าสำหรับลักษณะเสียงต่าง ๆ ให้เลือกเพิ่มเติมจากแบบมาตรฐานที่มีใน Walkman ZX รุ่นก่อนหน้า คือ เสียงร้องหญิง, เสียงร้องชาย, เครื่องเคาะจังหวะ และเครื่องสาย
DC Phase Linearizer ซึ่งทำหน้าที่จำลองความเพี้ยนเฟสของเสียงย่านความถี่ต่ำ จะสามารถตั้งค่าอย่างละเอียดได้ โดยเลือกรูปแบบของการจำลองคือ Type A ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานและ Type B ซึ่งเป็นรูปแบบที่เน้นปริมาณของเสียงเบส และเลือกความกว้างของช่วงความถี่ที่จะปรับ (Low, Standard, High)
Dynamic Normalizer ยังคงทำหน้าที่เดิมคือปรับระดับความดังเสียงของเพลงที่เล่นต่อเนื่องกันให้อยู่ในระดับเท่ากัน
เราสามารถบันทึกการตั้งค่าของชุดประมวลผลเสียงข้างต้นเก็บเอาไว้เป็น Sound Settings ได้สูงสุด 3 ชุด และตัวซอฟต์แวร์ยังสามารถปิดตัวประมวลผลเสียงทุกตัวทันที ได้ด้วยเพียงการเปิด Direct Source ซึ่งจะอยู่ที่มุมขวาบนของหน้า sound quality settings screen
ส่วนของ Output Settings จะเพิ่มเติมส่วนของการตั้งค่า High Gain Output ในกรณีที่ต้องต่อกับหูฟังที่ต้องใช้กำลังขับมาก โดยสามารถเลือกเปิด – ปิดการเชื่อมต่อปกติ 3.5 มม. และ Balanced 4.4 มม. แยกกันเป็นอิสระ
การตั้งค่า DSD ยังคงเหมือนกับ Walkman ZX รุ่นก่อนหน้า และ Walkman A ที่ให้เราเลือก Filter และ Gain ในการแปลงสัญญาณ DSD เป็น PCM ได้ สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือการเลือกให้ตัวเครื่องส่งสัญญาณ DSD เข้าไปที่ S-Master โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแปลงเป็นสัญญาณ PCM ก่อน แต่จะใช้ได้เฉพาะการเชื่อมต่อแบบ Balanced เท่านั้น
ส่วนการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Bluetooth นั้น Walkman ZX300 ได้เพิ่ม aptX HD ซึ่งเป็น A2DP Codec รุ่นใหม่จากทาง Qualcomm ซึ่งรองรับการส่งสัญญาณเสียงที่ความละเอียด 24 bit 48 kHz ด้วยแบนด์วิธ 576 kbps
ความสามารถใหม่ที่หลายคนสนใจใน Walkman ที่ออกเมื่อปี 2017 ก็คือ การใช้งาน Walkman เป็นแอมป์หูฟังเมื่ออยู่ในโหมด USB DAC ซึ่งการใช้งานในโหมดนี้ไม่มีความแตกต่างจากโหมดเครื่องเล่นปกติเลย สามารถรองรับสัญญาณที่เข้ามาได้ทั้ง PCM และ DSD รวมทั้งยังสามารถใช้งานตัวประมวลผลเสียงต่าง ๆ ได้เช่นเดิม เพียงแต่จะไม่สามารถใช้การเชื่อมต่อ Bluetooth ได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถเลือกได้ว่าจะให้ตัวเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ด้วยไฟจากพอร์ต USB หรือใช้แบตเตอรี่ภายในขณะใช้งานอยู่ได้ด้วย
ต่อไป เราจะไปดูการตั้งค่าและการใช้งานจริงของ Walkman ZX300 กัน
Pingback: มาทำความรู้จัก เทคโนโลยีวงจรขยายเสียงดิจิทัล S-Master ของ Sony กันเถอะ ตอนที่ 3 | RE.V –>