ในยุคการแข่งขันกันในวงการคอมพิวเตอร์ที่รุนแรง ทำให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ดี ๆ หลายรายที่เราคุ้นเคยในอดีต ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้ในเวลานี้ ซึ่งการปรับตัวหลาย ๆ ครั้งก็เป็นในทางที่ดี แต่บางครั้งก็ไม่ดีเท่าไร

หนึ่งในผู้ผลิตที่ดูจะปรับตัวไปในทางที่ดี ก็คือ Dell ที่ได้ออกแล็ปท็อปแบบบางเบาที่มีขอบจอบางมากจนแทบจะเรียกว่าไร้ขอบอย่าง XPS 13 ออกมาเป็นเจ้าแรก ๆ นั่นเอง

Dell XPS 13 รหัส L321X ต้นตระกูลของ XPS 13 ในปัจจุบัน

XPS 13 เป็นแล็ปท็อป Ultrabook ตัวแรกของ Dell ซึ่งรุ่นแรกได้ถูกเปิดตัวในปี 2012 ในชื่อรหัส L321X โดยมีจุดเด่นคือขนาดตัวเครื่องที่มีความกะทัดรัดไล่ ๆ กับแล็ปท็อปที่มีขนาดจอ 11 นิ้ว และวัสดุตัวถังของเครื่องที่ทำจากอะลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์

ความเปลี่ยนแปลงที่สร้างชื่อมาก ๆ ให้กับแล็ปท็อปรุ่นนี้ คือการเปิดตัว XPS 13 รหัส 9343 ในปี 2015 ซึ่ง Dell ได้ร่วมมือกับ Sharp ซึ่งเป็นผู้ผลิตพาเนลหน้าจอ ในการออกแบบหน้าจอ InfinityEdge Display ซึ่งมีขอบของหน้าจอที่บางมาก ๆ จนแทบเรียกว่าไร้กรอบ แบบเดียวกับจอโทรทัศน์ LCD พร้อมกับอายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 15 ชั่วโมง

สำหรับ XPS 13 ที่ RE.V-> ได้มีโอกาสยืมเจ้าของเครื่องมารีวิวนี่ เป็นรุ่นรหัส 9360 ซึ่งจะปรับปรุงหน่วยประมวลผลภายในให้ทันสมัย ยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานถึง 22 ชม. (เฉพาะตัวจอ Full HD) โดยยังคงหน้าตาและงานออกแบบของรุ่นรหัส 9343 เอาไว้อยู่

Product – Hardware

งานออกแบบของ XPS 13 นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นแล็ปท็อปในเกรดพรีเมี่ยม แต่ก็ยังคงกลิ่นอายงานออกแบบของ Dell ที่สามารถเจอได้ในแล็ปท็อปตระกูลอื่น ๆ เช่น Inspiron หรือ Vostro อยู่

ฝาบนและด้านล่างของตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งผิวด้านบนและด้านล่างจะทำแบบ powder coating ส่วนด้านข้างจะถูกขัดจนขึ้นเงาดูเด่นขึ้นมา สีของอะลูเนียมมีให้เลือก 2 สี คือสีเงิน (ที่นำมารีวิว) และสีทอง

ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีแถบยางที่ทำหน้าที่เป็นขารองตัวเครื่อง ติดอยู่ที่บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง ช่องอากาศ และฝาปิดยึดด้วยแม่เหล็กลาย XPS ซึ่งซ่อนรายละเอียดเลขซีเรียลและเครื่องหมายมาตรฐานต่าง ๆ เอาไว้ข้างใต้

ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบไปด้วย แจ็คชาร์จไฟ, พอร์ต Thunderbolt 3 ในรูปแบบ USB Type C, พอร์ต USB 3.0 ปุ่มและไฟสถานะสำหรับเช็คระดับแบตเตอรี่

ด้านขวาของตัวเครื่องประกอบไปด้วยตัวอ่าน SD card, พอร์ต USB 3.0 แบบ PowerShare สำหรับชาร์จอุปกรณ์ขณะปิดคอมพิวเตอร์ และช่องใส่สายล็อคของ Noble

สำหรับคนที่วางแผนจะเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลด้วย SD card ขอให้ระวังด้วยว่าช่องเสียบการ์ดบนตัวเครื่องมีความลึกประมาณครึ่งเดียวของตัวการ์ดเท่านั้น ไม่เหมือนช่องเสียบการ์ดบนแล็ปท็อปบางตัวที่สามารถใส่การ์ดเข้าไปในเครื่องทั้งใบได้

ลำโพงกำลังเสียง 1 วัตต์ถูกติดตั้งตรงบริเวณที่รองมือด้านซ้ายและขวา โดยจะมีช่องปล่อยเสียงอยู่ตรงบริเวณขอบด้านข้างของเครื่องทั้ง 2 ด้าน

เมื่อเปิดส่วนหน้าจอขึ้นมาจะเจอจอ InfinityEdge Display ขนาด 13.3 นิ้ว ใช้พาเนล IGZO IPS จาก SHARP ซึ่งมีมุมมองในการดูหน้าจอ 170 องศา มีความสว่างถึง 400 nit สามารถแสดงสีได้ครอบคลุม 75% ของ color gamut และมีค่า contrast ratio 1000:1

สำหรับเครื่องที่ผมยืมมาลองใช้นั้น จะเป็นรุ่นจอธรรมดา ซึ่งจะมีความละเอียด Full HD (1,920 x 1,080 พิกเซล) แบบด้าน ติดตั้งในกรอบจอพลาสติก ส่วนรุ่นจอสัมผัสนั้น จะมีความละเอียด QHD+ (3,200 x 1,800 พิกเซล) ปิดด้วยกระจก Gorilla Glass NBT จาก Corning

ด้วยความที่ขอบหน้าจอบางมาก ๆ กล้องเว็บแคมความละเอียด 720p จึงโดนย้ายมาอยู่ข้างใต้จอทางด้านซ้าย

ส่วนตัวถังบริเวณคีย์บอร์ดและที่วางมือจะทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ แล้วทำผิวแบบซอฟต์ทัชเคลือบทับ ให้สัมผัสที่นุ่มมือและไม่ร้อน ตัวคีย์บอร์ดที่มากับเครื่องจะเป็นแบบขนาดเต็ม พร้อมไฟ LED ส่องสว่างด้านล่าง ตัวแป้นมีระยะช่วงกด 1.3 มม. ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ของทีมพัฒนาบอกว่า เป็นระยะที่เหมาะสมกับแล็ปท็อปที่มีความบางขนาดนี้แล้ว เมื่อเทียบกับระยะ 2.5 มม. ของคีย์บอร์ดตามมาตรฐาน ISO ในแล็ปท็อป Latitude

ทัชแพดจะเป็นแบบกระจกชิ้นเดียว ขนาดใหญ่ บริเวณด้านล่างสามารถกดลงไปได้ รองรับการใช้งานนิ้วได้สูงสุด 4 นิ้ว ตามข้อกำหนด Precision Touchpad ของ Microsoft

บริเวณตรงขอบด้านหน้า จะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนคู่ และไฟสถานะของการชาร์จแบตเตอรี่

สำหรับที่ชาร์จที่มากับตัวเครื่องเป็นแบบ 45 วัตต์ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ชาร์จของ VAIO Duo 11 ที่ผมใช้งานอยู่ ส่วนสายไฟที่ต่อจากที่ชาร์จเป็นหัวแบน US เพราะเจ้าของเครื่องซื้อเครื่องมาจากต่างประเทศครับ

ในส่วนของสเปกตัวเครื่องที่ผมยืมมาทดสอบ มีรายละเอียดดังนี้

• CPU: Intel Core i7-7500U ความเร็ว 2.7 GHz
• GPU: Intel HD Graphics 620
• SSD: Toshiba THNSN5256GPUK ความจุ 256 GB เชื่อมต่อแบบ NVMe
• RAM: LPDDR3 ขนาด 4 GB ความเร็ว 1,866 MHz จำนวน 2 ชิ้น
• Wireless: Killer Wireless-AC 1535 รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11a/b/g/n/ac ต่อกับเสาอากาศแบบ MIMO 2 x 2 ความเร็วสูงสุด 866 Mbps และ Bluetooth 4.1
• OS: Windows 10 Home

สำหรับคนที่ต้องการใช้งานพอร์ตต่อจอภาพรูปแบบอื่น ๆ เช่น VGA, HDMI รวมไปถึงพอร์ต Gigabit LAN ก็สามารถใช้ตัวแปลง Dell Adapter – USB-C to HDMI/VGA/Ethernet/USB 3.0 ซึ่งขายแยกต่างห่างมาใช้งานร่วมกันได้

ต่อไป เราจะไปดูซอฟต์แวร์ของ Dell ที่ติดมาในเครื่อง และประสบการณ์การใช้งานจริงกัน