หลังจากที่ RE.V-> ได้รีวิวหูฟัง MDR-Z7 ซึ่งเป็นหูฟังเรือธงตัวปัจจุบันของ Sony ไป ก็มีผู้อ่านเข้ามาสอบถามว่าจะมีรีวิวของหูฟัง XBA-Z5 ซึ่งเป็นหูฟังเรือธงแบบสอดหูบ้างหรือเปล่า ตอนนั้นได้ตอบไปว่า ถ้ามีโอกาสหาหูฟังตัวนี้มารีวิวได้ ก็จะนำมารีวิวให้อ่านกัน
พอดีตอนที่ได้รับ Walkman ZX2 จาก Sony มารีวิว ผมได้ขอยืมหูฟัง XBA-Z5 มาด้วย ว่าแล้วก็มาดูรีวิวของ XBA-Z5 กันเลยครับ
ประวัติความเป็นมาของ XBA-Z5 เริ่มต้นมาจากความสำเร็จของ XBA-H3 หูฟังแบบสอดหูที่ใช้ตัวขับแบบผสม ซึ่งถึงแม้ว่าจะได้ผลตอบรับเรื่องคุณภาพในทางที่ดีก็จริง แต่ทีมพัฒนาก็ยังอยากให้หูฟังสามารถสร้างบรรยากาศที่เปิดโล่งได้ด้วย นอกจากนี้การเปิดตัวสินค้าที่รองรับเสียงความละเอียดสูงจากบริษัทอื่น ๆ ยังทำให้ Sony ต้องยกระดับหูฟังของตัวเองในทุกด้าน ที่ไม่ใช่เน้นเฉพาะคุณภาพเสียง เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความพอใจในการเป็นใจของ ด้วยเหตุนี้ทีมพัฒนาจึงได้เริ่มงานออกแบบ XBA-Z5 ทันทีหลังจากที่ XBA-H3 ได้เปิดตัวไปแล้ว ในเดือนตุลาคม ปี 2013
สีเขียวคือก้าน balanced armature รูปตัว T สีม่วงคือไดอะแฟรมที่เชื่อมต่อกับก้าน armature โดยตรง
ในเดือนพฤษจิกายน ปี 2013 ทีมพัฒนาได้ปรับปรุงโครงสร้างภายในของตัวขับ balanced armature เดิม โดยเปลี่ยนไปใช้ก้าน balanced armature แบบสมมาตร รูปทรงตัว T เพื่อปรับปรุงการสะเทือนในแนวดิ่ง และเชื่อมต่อก้าน armature กับไดอะแฟรมโดยตรง เพื่อลด transmission loss จนทำให้ได้ตัวขับ balanced armature รุ่นที่ 2 ที่เรียกว่า Linear Drive Balanced Armature ที่นอกจากจะถูกใช้งานใน XBA-Z5 แล้ว ยังนำไปใช้งานในหูฟังตระกูล XBA-A และ XBA-100 อีกด้วย
ตัวถังแมกนิเซียมแบบยังไม่ทำสีของ XBA-Z5
นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังได้ปรับปรุงตัวขับ BA ที่เป็น HD Super Tweeter ใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 โดยเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำไดอะแฟรมจากอลูมิเนียมที่ใช้งานใน XBA-H3 เป็นแมกนีเซียม ซึ่งเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและความแน่นมากกว่า ปกติแล้วแมกนีเซียมจะถูกใช้ทำดอกทวีตเตอร์ของลำโพงอยู่แล้ว แต่การนำมาใช้งานกับหูฟัง ที่ต้องการความบางเพียง 0.1 มม. ต้องการเทคโนโลยีในการผลิตที่ละเอียด ซึ่งในปัจจุบันก็สามารถทำได้แล้ว
เช่นเดียวกับ MDR-Z7 ทีมพัฒนาได้นำ XBA-Z5 ไปยัง Battery Studio เพื่อรับฟังความเห็นจาก mastering engineer และปรับจูนเสียงของหูฟังในเดือนมิถุนายน ปี 2014 จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ต้องเริ่มผลิตหูฟังออกมาแล้ว
XBA-Z5 ยังคงรูปแบบของตัวขับแบบผสมที่ใช้งานใน XBA-H3 เหมือนเดิม แต่ได้มีการปรับปรุงขึ้นหลาย ๆ จุด ทั้งตัวขับ Full Range และ HD Super Tweeter ที่ได้เล่าถึงไปแล้วข้างบน ตัวขับไดนามิคที่เปลี่ยนมาใช้ไดอะแฟรม LCP เคลือบอะลูมิเนียม เช่นเดียวกับ MDR-Z7 นอกจากนี้ยังใช้ thin film capacitor มาทำวงจร crossover อีกด้วย ทำให้ XBA-Z5 สามารถตอบสนองช่วงความถี่ได้กว้าง 3 – 40,000 Hz ซึ่งเป็นความถี่ที่สัญญาณ PCM ความละเอียด 96 kHz สามารถบันทึกได้
สำหรับหูฟัง XBA-Z5 ตัวที่นำมารีวิวนี้ จะเป็น sale sample จากทาง Sony ที่เอาไว้ใช้สาธิตเวลาออกงานต่าง ๆ สภาพหรืออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ อาจจะไม่เหมือนกับสินค้าใหม่แกะกล่องครับ
Package
เรื่องกล่องคงไม่ต้องพูดถึงอะไรอีกแล้ว เพราะงานออกแบบมันเหมือนกับกล่องสินค้าเครื่องเสียงพกพา Sony ปี 2014 ที่รีวิวไปก่อนหน้า แต่ของ XBA-Z5 จะต่างจากสินค้าตัวอื่นนิดหน่อยที่ กล่องด้านนอกของ XBA-Z5 จะเป็นแค่ปลอกสวมทับกล่องสีดำข้างใน ไม่ได้เป็นกล่องมีฝาเหมือนสินค้าตัวอื่น
ด้านหลังมีระบุสรรพคุณของเจ้า Z5 และอุปกรณ์เสริมที่ให้มาด้วยกัน
เปิดกล่องมาจะเจอหูฟังนอนอยู่ในถาดพลาสติกที่ทำเบ้ายึดเอาไว้ มุมขวาบนมีแผ่นเหล็กปั้มเลขซีเรียลของตัวหูฟังอยู่
ทางด้านซ้าย ถ้าเปิดออกจะเป็นที่ใส่เอกสารและคู่มือครับ
ยกถาดพลาสติกที่ยึดตัวหูฟังออก จะเจอสายหูฟังที่เหลือพันเก็บอยู่ และกระเป๋าหนังสำหรับใส่หูฟัง ซึ่งมีหน้าตาและวัสดุเหมือนกับกระเป๋าของ XBA-H3 ที่เคยรีวิวไป
ในกระเป๋าใส่หูฟังจะบรรจุสายหูฟังแบบ balanced ที่พันสาย ที่หนีบสาย จุกหูฟังแบบ Hybrid Silicone ขนาด L, M, S, SS และจุกหูฟังแบบ Foam Silicone ขนาด L, M, S ซึ่งเนื้อโฟมจะเป็นสีดำ ไม่เหมือนกับของ XBA-H และ XBA-A ที่เป็นสีส้มแดง
ขนาดจุกหูฟังที่ให้มา ถ้าเทียบกับ MDR-EX1000 ก็ยังให้จุกแบบ Hybrid Silicone ขาดไปอีก 3 ขนาดคือ MS, ML และ LL ซึ่งผมคิดว่า การมีขนาดและแบบของจุกหูฟังมาให้เลือกใช้เยอะ ๆ น่าจะดีกว่า เพราะคนซื้อเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจุกขนาดไหนจะเหมาะกับตัวเองมากที่สุด ถ้าไม่ได้มีโอกาสใช้งานเป็นเวลาสักพักใหญ่ก่อน
Product
ลักษณะภายนอกของ XBA-Z5 ยังคงรูปทรงแบบเดียวกับ XBA-H3 แต่ได้ใช้ภาษาการออกแบบเหมือนกับเครื่องเสียงเรือธงของ Sony ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ทั้ง MDR-Z7, PHA-3 และ Walkman ZX2 เลยทำให้ XBA-Z5 มีงานออกแบบไปในทางเดียวกันกับอุปกรณ์ข้างต้น
หลังจากที่รีวิว Walkman ZX2 ไปไม่นาน Sony ก็ได้เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการของภาษาการออกแบบนี้ว่า Negative Space ครับ
Nagative Space เกิดจากแนวความคิดที่ว่า ถ้าหากนำส่วนต่าง ๆ ของเครื่องเสียงมาย่อและบีบอัดจนเป็นรูปทรงพื้นฐานชิ้นเดียวกัน ลักษณะเด่นที่จำเป็นของเครื่องเสียงจะถูกพื้นที่ว่างที่เรียกตามภาษาออกแบบว่า negative space รักษาเอาไว้ ซึ่งทีมออกแบบก็จะให้ความสำคัญกับการออกแบบพื้นที่ว่างดังกล่าว
แนวทางสำคัญของการออกแบบด้วย Nagative Space มี 3 ข้อคือ รูปทรงที่ผ่านการบีบอัดมาแล้วต้องดูเรียบง่าย (Simple) และเป็นสัญลักษณ์ (Iconic) เครื่องเสียงจะต้องดูแข็ง (Solid) และทนทาน (Durable) และพื้นผิวที่ละเอียดจะต้องทำให้นึกถึงเสียงความละเอียดสูงที่มีความแม่นยำ (Precision) และความหนาแน่น (Density) ของข้อมูลภายในที่สูง
ว่าแล้วก็ไปดู XBA-Z5 ตัวจริงกันครับ
ผมขอสอบถามได้ไหมครับว่า
– ถ้าซื้อ XBA-Z5 ตอนนี้จะยังคุ้มค่าอยู่ไหมครับ ?
– คุณภาพเสียงของ XBA-A3 กับ XBA-Z5 แตกต่างกันมากน้อยเพียงใดครับ?
– ซื้อมาฟังแบบต่อตรงกับ A30 เสียงที่ได้จะดึงประสิทธิภาพของหูฟังตัวนี้ออกมาหมดรึเปล่าครับ?
– ตอนนี้ผมใช้ w4R ที่มีจำนวนไดว์เวอร์มากกว่า เรื่องการแยกแยะเสียง จะแตกต่างกับXBA-Z5มากไหมครับ?
ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่ช่วยตอบครับ
ผมขออนุญาติถามคำถามสุดท้ายนะครับ
ตอนนี้กำลังชั่งใจว่า จะเอา A3 หรือ Z5 ดี เพราะราคาต่างกันเยอะพอสมควร
จำได้ว่าผมเคยอ่านมาจากเวปเฮียมั่นคง ในกระทู้ sony ภาค 13 ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ปลิวไปไหนแล้ว
เห็นบางท่านจัด A3 แล้วมาเปลี่ยนสายอัพเกรด sony อยากทราบว่า คุณภาพเสียงที่ได้จะขยับเข้ามาใกล้เคียง Z5 หรือให้คุณภาพเสียงดีขึ้นกว่าเดิมมากน้อยแค่ไหนครับ
ตอนนี้ผมใช้ A3 กับสายอัพเกรดอยู่ ส่วนตัวรู้สึกว่าความแหลมมันหายไปเยอะกว่าสายที่มาด้วยกัน แต่ได้เบสที่ฟังดูกว้างกว่า ช่วงกลางที่เด่นขึ้น และการแยกมิติเสียงที่ดีกว่าเดิมครับ
Pingback: รีวิว หูฟัง Sony MDR-1AM2 หูฟัง Premium โฉมใหม่ไฉไลกว่าเดิม | RE.V –>