เมื่อต้นเดือนที่แล้วที่ผมได้ไปร่วมงานเปิดตัวหูฟังตระกูล XBA ของ Sony ทาง Sony ได้ฝากหูฟังรุ่น XBA-1 กลับมาให้ได้ลองกันด้วย หลังจากที่ผมเอามันไปใช้งานแทนหูฟังตัวเดิมคือ ultimate ears super.fi 3 studio มาประมาณเดือนกว่า ๆ ก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะได้นำรีวิวของหูฟังตัวนี้มาให้ได้อ่านกันเสียทีครับ
Package
ตัวกล่องเป็นพลาสติกแข็ง ดูดีทีเดียว หน้ากล่องระบุชัดเจนว่าตัวไดร์เวอร์ทำในญี่ปุ่น
ด้านหลังมีบรรยายสรรพคุณต่าง ๆ ข้างใต้ระบุว่าผลิตในไทย
เปิดกล่องด้านบน จะเจอลูกศรที่ชี้ตำแหน่งให้เราดึงเอากล่องชั้นในออกมา
กล่องชั้นใน และเอกสารเงื่อนไขการรับประกันสินค้า ซึ่งระยะเวลาการรับประกันสินค้าของหมวดหูฟังและบลูทูธจะอยู่ที่ 6 เดือน เทียบกับหลาย ๆ เจ้าจัดว่าน้อยทีเดียว
ตัวหูฟังมัดสายมาอย่างดี สังเกตุว่าสายของหูฟังด้านซ้ายจะสั้นกว่าด้านขวา เพราะออกแบบมาให้ใส่หูฟังอ้อมหลัง
อุปกรณ์เสริมที่ให้มา มีถุงผ้าสำหรับเก็บหูฟัง จุกแบบ Hybrid Silicone จุกแบบ Noise Isolation ที่พันสาย และคู่มือ
Product
ตัวหูฟังมีสีเงินสวยงาม ด้านนอกทำจากพลาสติก ABS เพื่อลดการสั่นสะเทือนของตัวขับ ด้านในใช้ Liquid Crystal Polymer สังเกตสี่เหลี่ยมสีทองตรงท้าย นั้นคือตัวบอกตำแหน่งของตัวขับ อย่าง XBA-1 มีตัวขับตัวเดียว ก็จะมีสี่เหลี่ยม 1 อัน ถ้ารุ่นที่มีเยอะ ๆ ก็จะมีสี่เหลี่ยมที่ว่ามากขึ้นไป
สำหรับการแบ่งข้าง มีการสกรีนตัวอักษร และใส่สีที่ตรงที่เชื่อมระหว่างสายกับตัวหูฟังเอาไว้ นอกจากนี้ Sony ยังออกแบบให้หูฟังด้านซ้ายมีติ่งเล็ก ๆ เพื่อช่วยบอกข้างของหูฟังเวลาเราเอามือคลำอีกด้วย
ปลายรูปล่อยเสียงมีฟองน้ำปิดเพื่อป้องกันขี้หูหล่นลงไป อันนี้น่าจะเป็นมาตรฐานของหูฟังสอดหูใหม่ ๆ หมดแล้ว
สายหูฟังแบบป้องกันการพันกันยาว 1.2 เมตร ใช้ปลั๊ก 3.5 มม. แบบตัว L ขนาดตัวปลั๊กค่อนข้างเล็ก ไม่น่าจะมีปัญหาเวลาเอาไปใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องใส่เคส
ส่วนตัวสายนั้นจะแปลกว่าเจ้าอื่นหน่อยที่ว่า ปกติสายแบบป้องกันการพันกันมักจะใช้สายแบน แต่ Sony จะทำสายเป็นลักษณะหน้าตัดทรงข้าวหลามตัดแทน ทำให้สายดูแล้วแข็งแรงก็กว่าแบบสายแบน
จุกหูฟังที่ให้มามีสองแบบคือ แบบ Hybrid Silicone ซึ่งเป็นจุกมาตรฐานสำหรับหูฟัง Sony รุ่นใหม่ ๆ ทุกรุ่น มีขนาด SS S M (ใส่อยู่ที่หูฟัง) และ L อีกแบบคือ Noise Isolation ซึ่งจะมีการใส่ชั้น memory foam คล้ายจุกของ Comply ตรงบริเวณช่องว่างระหว่างแกนของจุกกับยาง เป็นจุกใส่มาเฉพาะหูฟังรุ่นสูง ๆ ของ Sony เท่านั้น มีขนาด S M และ L มาให้
สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างคือ จุกหูฟังของ Sony จะมีการใช้รหัสสีเพื่อระบุขนาดและประเภทของจุกหูฟัง
ที่พันหูฟัง ตัวนี้น่าจะเป็นแบบที่มากับหูฟังทั่ว ๆ ไปของ Sony เท่าที่ลองใช้ดูพบว่าไม่ค่อยเหมาะกับสายของ XBA เท่าไร พันได้แค่ 3 – 4 รอบก็เต็มที่แล้ว แถมมีโอกาสหลุดออกจากที่พันหูฟังได้ง่ายด้วย ตัวนี้จริง ๆ จะเหมาะกับสายเส้นกลมมากกว่า
สำหรับเรื่องทางเทคนิค ขอไม่ฉายซ้ำนะครับ ตามกลับไปอ่านได้ที่โพสก่อนหน้าเลย
Set up
การใช้งานหูฟังรุ่นนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกันกับหูฟังสอดหูแบบอื่น ๆ ซึ่งก็คือเลือกจุกหูฟังขนาดที่ใส่แล้วฟิตในรูหูพอดี แต่ต้องไม่รู้สึกเจ็บเวลาใส่ ซึ่งขนาดที่ผมใช้จะเป็นขนาด M ของทั้งจุกแบบ Hybrid Silicone และ Noise Isolation ซึ่งทั้งสองจุกจะแตกต่างกันเรื่องความนิ่ม Hybrid Silicone จะนิ่มและใส่ง่ายกว่าจุก Noise Isolation ในขนาดเดียวกัน แต่ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ใช้จุก Noise Isolation ดีกว่า (สาเหตุจะบอกในช่วงถัดไป)
และเนื่องจากหูฟังตัวนี้ออกแบบมาให้ใส่แบบอ้อมหลังหัว ก็แนะนำว่าให้ใส่ตามนั้นจะดีกว่า ซึ่งการใส่แบบนี้มีข้อดีหลายอย่าง เช่น เวลาเราถอดหูฟังออก เราสามารถทิ้งสายให้คล้องอยู่รอบคอเราได้ ซึ่งก็สะดวกดีเวลามีคนเรียกอะไรแบบนี้ ไม่ต้องถือให้เมื่อย
ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟังรอบนี้ หลัก ๆ ยังคงเป็น iPod nano Generation 5 เหมือนเดิม แต่ปรับความดังประมาณระดับ 4 – 7
Performance
เบื้องต้นที่ลองฟังในงาน เคยบอกว่า XBA-1 นี้ฟังเพลงสนุกกว่า แต่ส่วนนึงน่าจะมาจากเพลงที่เอาไปฟังวันนั้น ค่อนข้างเหมาะกับแนวหูฟังตัวนี้มาก แต่ตอนรีวิว ผมมีเวลาเยอะก็จัดเพลงมาฟังได้หลาย ๆ แนวกว่า ก็มาลองอ่านรีวิวแบบจริง ๆ จัง ๆ กัน
สำหรับแนวเสียงของ XBA-1 นั้นจะออกมาในลักษณะเย็น ๆ เบสมี แต่ไม่หนาและลึกเท่าไร เสียงกลางฟังดูเคลียร์ ชัดเจน ส่วนเสียงแหลมจัดว่าเป็นข้อดีของหูฟังตัวนี้ ทำออกมาได้ดีมาก ทำให้หูฟังตัวนี้เอาไปฟังเพลงที่มีหลายละเอียด ลูกเล่น เสียงสังเคราะห์ต่าง ๆ เยอะ ๆ ได้สนุกดี แต่ถ้าใครชอบฟังเพลงที่เน้นเสียงร้องแบบทรงพลัง ๆ หน่อย อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะเสียงร้องออกมาเย็นและบางไปหน่อย ซึ่งเรื่องเบสกับเสียงบางนั้น เปลี่ยนไปใช้จุกแบบ Noise Isolation เสียงก็ออกมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องการแยกแยะรายละเอียดเสียงทำออกมาได้ดีทีเดียว และมีมิติที่กว้างไม่อุดอู้เหมือนหูฟังสอดหูในระดับเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดของ UE รุ่นเก่า ๆ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมิติเสียงที่กว้างอยู่แล้ว เข้าใจว่าส่วนนึงน่าจะมาจากการวางตำแหน่ง air vent ตัวขับแบบ Balanced Armature ของ Sony ที่เลือกที่จะวางด้านบนแทนเป็นท่ออยู่ด้านข้าง และโครงสร้างของตัวหูฟัง ที่ทำให้เสียงที่ออกมานั้นมีพื้นที่ในการเดินทางอยู่พอสมควร ไม่ใช่ออกมาจากตัวขับแล้วส่งเข้าหูเลย
สำหรับเรื่องการเก็บเสียงนั้น ถึงแม้ XBA-1 จะไม่ได้ระบุสเปกมาว่ากันได้กี่ dB แต่ถ้าเทียบกับ UE ที่ทำได้แถว 26 dB หากเป็นจุกแบบ Hybrid Silicone ก็ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกัน แต่จะมีปัญหาในการกันเสียงเครื่องยนต์บนรถเมล์ปรับอากาศของจีน ซึ่งเป็นเสียงความถี่ต่ำ ๆ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นจุก Noise Isolation นี้เพอร์เฟกต์ครับ กันเสียงต่าง ๆ ได้ดีมาก พอ ๆ กับจุกโฟมของ Comply เลย แต่จุกของ Sony ดีกว่าที่มันไม่เปื่อยเหมือนของ Comply เพราะมีส่วนของซิลิโคนอ่อนหุ้มไว้อีกที
ผมได้มีลองเอาหูฟังตัวนี้ไปใส่คุย Skype ด้วย เพื่อลองดูว่าถ้าเอาไว้ฟังเสียงตอนคุยโทรศัพท์มันจะเวิร์คไหม (ถึงแม้เราจะไม่ได้เอารุ่นย่อย ip ที่มีไมค์กับปุ่มของ iPhone ก็ตาม) ก็พบว่า XBA-1 ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีมากจนน่าตกใจ เสียงพูดดังชัดเจนมาก ก็คงเป็นเพราะบุคลิกเย็น ๆ บาง ๆ ของมันนี้แหละ
Conclusion
จากที่ผมได้เอาเจ้า XBA-1 มาใช้แทน super.fi 3 studio มาได้ประมาณเดือนกว่า ๆ ผมรู้สึกชอบหูฟังตัวนี้นะ อาจจะเป็นเพราะส่วนนึงมาจากแนวเพลงที่ฟังที่มันมีลูกเล่นเสียงเยอะ ๆ ผมเลยรู้สึกว่า XBA-1 ฟังสนุกกว่า คุณภาพตัวหูฟัง ถึงแม้จะทำในประเทศไทย แต่คุณภาพงานก็ออกมาดี (จริง ๆ อยากชมว่าเยี่ยม แต่ตัวที่ผมได้ หูข้างนึงยัดฟองน้ำแล้วมันยื่นออกมา เลยไม่ให้) สายที่ดูเล็ก ๆ ก็กลับทนกว่าที่คิดไว้ ส่วนอุปกรณ์เสริมที่ให้มาจุกหูฟังนี้คุณภาพดี แต่ถุงผ้าที่ให้มา นี้ผมว่าไม่เวิร์คเท่าไร ถุงมันบางมาก
ส่วนเรื่องติ เรื่องเสียงแนวเย็น ๆ บาง ๆ นี้คงไม่ติ เพราะมันเป็นบุคลิกของหูฟังตัวนี้ที่ Sony อยากจะให้เป็นมากกว่า ถ้าติจริง ๆ คงเป็นเรื่องถุงผ้าที่ทำออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร บางมาก และเชื่อว่า Sony น่าจะหาถุงผ้าที่ดีกว่านี้ในราคาใกล้เคียงกันได้ เรื่องตัวพันสายที่ไม่เหมาะกับสายแบน และเรื่องการรับประกัน 6 เดือน ซึ่งผมว่ามันน้อยไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งเจ้าอื่นที่ Sony จะไปต่อกรด้วย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเท่ากันอย่างนี้ทุกรุ่นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาพันปลาย ๆ กับหูฟังที่ใช้ตัวขับ Balanced Armature ด้วยคุณภาพเสียงที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าหูฟังเจ้าอื่นที่ใช้ตัวขับแบบเดียวกันและจำนวนเท่ากันในช่วงราคาประมาณ 3,000 – 4,000 บาท ผมอยากให้คนที่กำลังซื้อหูฟังใหม่ในช่วงราคาประมาณนี้ หรือคนที่กำลังอยากจะได้หูฟังดี ๆ สักคู่ แต่ไม่อยากจ่ายแพง มาลอง XBA-1 ดูครับ คิดว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
ใครสนใจก็ไปทดลองฟังตาม Sony Store กับตามร้านหูฟังชั้นนำก่อนซื้อได้ครับ ของอย่างนี้มันต้องไปลองเองถึงจะรู้จริง
สวัสดีครับ รบกวนสอบถามครับว่า
1. XBA-1 ตัวสีโครเมี่ยมที่เคลือบบนเฮ้าซิ่ง ลอกง่ายไหมครับ
2. รุ่น XBA-S65 เสียงเทียบกับ XBA-1 แล้วต่างกันไหมครับ ที่สนใจตัวนี้อีกตัวเพราะเห็นว่าสีไม่น่าจะลอกแน่ๆ เพราะไม่ได้ชุบสีแบบ XBA-1
3. แนวเสียงของ XBA-1 เทียบกับ UE Fi3 ต่างกันมากไหมครับ เสียงร้องของ XBA-1 ถือว่าถอยไหม เมื่อเทียบกับ Fi3
ขอบคุณครับ 🙂
1. ตั้งแต่ได้มาใช้ ยังไม่เจอเรื่องสีลอก หรือแม้กระทั่งว่าเป็นรอยนะครับ
2. ตัว XBA-S65 ผมยังไม่มีโอกาสได้ลองนะครับ เรื่องเสียงคิดว่าต่างกัน เพราะเนื่องจากโครงสร้างของเคสไม่เหมือนกัน แต่ไม่น่าห่างกันมาก เพราะใช้ตัวขับตัวเดียวกันครับ
3. ตามในรีวิวเลยครับ คือ XBA-1 เสียงร้องจะออกแนวเย็นและบางกว่า Super.fi 3 Studio หน่อยครับ ถ้าฟังพวกเพลงเสียงร้องใส ๆ แบบพวก J-Pop เนี๊ยนะเหมาะ แต่ถ้าเป็นพวกเสียงร้องแนวทรงพลัง Super.fi 3 Studio จะฟังดูมีพลังและหนากว่าครับ
Pingback: รีวิว Sony VAIO Duo 11 ตัวขายจริง ภาคซอฟต์แวร์และการใช้งานจริง
Pingback: รีวิว Sony WALKMAN F800 เครื่องเล่นมีเดียพลัง Android ภาคฮาร์ดแวร์