นอกเหนือจากฮาร์ดแวร์ที่ใช้เล่นไฟล์เพลงแบบ High resolution audio แล้ว ตัวไฟล์เพลง HRA ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหยอนกัน ซึ่งเวลาที่เราไปซื้อเพลงจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็จะเห็นเขาระบุด้วยว่าใช้ต้นฉบับ (master) อะไรมาทำเป็นไฟล์เพลงขายเรา
วันนี้ RE.V-> จะมาแนะนำเกี่ยวกับต้นฉบับเพลง HRA ให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันมากขึ้นครับ
จากที่เคยเขียนไปในหลาย ๆ บทความก่อนหน้าเกี่ยวกับขั้นตอนการผลิตเพลง ซึ่งประกอบไปด้วยการบันทึกเสียง (Recording) การตัดต่อเสียง (Mixing) และการทำต้นฉบับ (Mastering) สำหรับแจกจ่ายในรูปแบบต่าง ๆ
เมื่อขั้นตอนการผลิตเพลงนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อย ค่ายเพลงก็ทำการจัดเก็บต้นฉบับของเพลงนั้นเอาไว้ เพื่อภายภาคหน้าจะได้นำกลับมาใช้งานใหม่หรือนำแผ่นมาปั้มขายได้อีก ต้นฉบับที่ว่าแบ่งออกได้เป็นสองประเภทตามรูปแบบของสื่อที่ใช้บันทึกคือ สื่อที่เป็นแอนะล็อกและสื่อที่เป็นดิจิทัลครับ
Analog Master
STUDER A80 เครื่องบันทึกเทปแม่เหล็กแบบรีล สำหรับทำต้นฉบับ ที่มา : Wikipedia
ก่อนหน้าที่การบันทึกเสียงในรูปแบบดิจิทัลจะได้รับความนิยม เสียงจะถูกบันทึกในรูปแบบแอนะล็อกลงในเทปรีล ซึ่งเมื่อเรานำเนื้อเทปที่ทำจากวัสดุเคลือบด้วยอนุภาคแม่เหล็กผ่านหัวบันทึก หัวบันทึกก็จะทำการกำหนดขั้วของแม่เหล็กเหนือหรือใต้ตามรูปแบบของสัญญาณที่เข้ามา
ปัจจุบันการบันทึกเสียงในรูปแบบดิจิทัลนั้นได้รับความนิยมแล้วก็จริง แต่ก็ยังมีเหล่าศิลปินและวิศวกรเสียงที่ยังชื่นชอบในน้ำเสียงที่ได้จากการบันทึกเสียงด้วยเทปรีลอยู่
เทปรีลสำหรับทำต้นฉบับจาก ATR
ในการทำไฟล์ HRA จากต้นฉบับที่เป็นเทปแม่เหล็ก วิศวกรจะนำเทปมาเล่นผ่านเครื่องเล่นเทปที่ได้มีการปรับตั้งอย่างถูกต้อง แล้วนำสัญญาณจากเครื่องเล่นผ่านตัวแปลงสัญญาณแอนะล็อกเป็นดิจิทัล (ADC) จากนั้นก็นำสัญญาณในรูปแบบดิจิทัลที่ได้ตัดต่อ แก้ไข ปรับปรุง จนได้ไฟล์เสียงในรูปแบบดิจิทัลสำหรับการแจกจ่าย หรือจะนำไปทำเป็นต้นฉบับสำหรับปั้มเป็นแผ่นซีดีต่อก็ได้ ขั้นตอนที่ว่ามาคือขั้นตอนที่เรารู้จักกันว่า remaster หรือการทำต้นฉบับใหม่นั่นเอง
ถึงแม้ว่าการไฟล์ HRA ที่ได้จากการ remaster ต้นฉบับจากเทปแม่เหล็ก จะมีความละเอียดที่ 24-bit 96 kHz แต่คุณสมบัติของเทปแม่เหล็ก เช่น เทปยี่ห้อ ATR ที่นิยมใช้งานกันในปัจจุบัน จะมี dynamic range ประมาณ 80 dB และออกแบบมาให้อัดเสียงในช่วงความถี่ 20 – 20,000 Hz ซึ่งน้อยกว่าคุณสมบัติของสัญญาณดิจิทัล 24-bit 96 kHz สามารถทำได้
สาเหตุที่การ remaster เทปแม่เหล็กต้องใช้ความละเอียดของสัญญาณดิจิทัลที่สูงนั้น เพื่อให้วิศวกรเสียงสามารถดึงเอาเสียงที่บันทึกอยู่ในเทปออกมาได้ครบถ้วน ป้องกันสัญญาณดังจนเกิด clipping และช่วยให้การประมวลผลเสียงต่าง ๆ เช่น การกำจัดเสียงแปลกปลอม ทำได้แม่นยำขึ้น เพราะมีจำนวน sample เพื่อให้โปรแกรมคำนวณมากกว่า
Digital Master
Pro Tools ระบบ Digital Audio Workstation (DAW) ที่ได้รับความนิยมในห้องอัดเสียงทั่วโลก
สำหรับต้นฉบับแบบดิจิทัล ก็คือการนำสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิทัลไปเก็บไว้ในสื่อบันทึกข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก แผ่นดิสก์ ฮาร์ดไดร์ฟ หรือสื่อบันทึกข้อมูลแบบดิจิทัลรูปแบบอื่น ๆ
เนื่องจากสมัยนี้ อุปกรณ์บันทึก ประมวลผล และแปลงสัญญาณมีความก้าวหน้าไปไกลแล้ว เราสามารถที่จะทำเพลงออกมาในรูปแบบความละเอียดสูงได้ตั้งแต่ขั้นแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งความละเอียดที่นิยมใช้งานกันจะอยู่ที่ 24-bit ส่วนอัตราสุ่มสัญญาณนั้นจะค่อนข้างหลากหลายตามลักษณะงาน เช่น
- 44.1 kHz ในกรณีที่จะเอาไปทำ Audio CD โดยไม่ต้อง downsampling ใหม่
- 48 kHz สำหรับเสียงประกอบในวิดีโอ
- 88.2 kHz และ 96 kHz (อัตรา 2 เท่าของ 2 ค่าแรก) ในกรณีที่มีการบันทึกเสียงด้วยไมค์ที่ตอบสนองความถี่ได้กว้างมาก ป้องกันไม่ให้เกิด alias ในขั้นตอนการเล่นสัญญาณ PCM กลับ
- 176.4 kHz และ 192 kHz (อัตรา3 เท่าของ 2 ค่าแรก) สำหรับบันทึกเสียงให้ครบทุกย่านความถี่ที่สุด
Sony PCM-1630 ตัวแปลงสัญญาณ PCM สำหรับใช้ทำต้นฉบับ Audio CD ที่มา : Wikipedia
อย่างไรก็ตาม ในยุคก่อนที่เทคโนโลยีดิจิทัลยังไม่ก้าวหน้า ต้นฉบับดิจิทัลจะมาจากการนำเอาสัญญาณแอนาล็อกมาแปลงด้วยตัวแปลงสัญญาณ PCM ด้วยความละเอียด 14-bit 44.056 kHz ตามมาตรฐาน EIAJ หรือ 16-bit 44.1 kHz ตามมาตรฐานของ Audio CD ลงบนเทปวิดีโอ เพื่อส่งไปทำแผ่นซีดีเพลงต่อไป
ในการนำต้นฉบับความละเอียด 16-bit 44.1 kHz มาทำเป็นไฟล์เพลง HRA นั้น บางบริษัทอาจจะใช้การประมวลผลพิเศษในการ remaster เพื่อทำการวิเคราะห์และสร้างเสียงในช่วงความถี่สูงที่หายไป เช่น K2HD Processing ของ JVC ที่นอกจากจะใช้งานในเครื่องเสียงของบริษัทแล้ว ยังนำมาใช้งาน mastering ในห้องอัด Victor Studio ของบริษัทเองอีกด้วย
เปรียบเทียบการเข้ารหัสเสียงแบบ PCM และ DSD ที่มา : Wikipedia
นอกจากการเก็บต้นฉบับดิจิทัลในรูปแบบ PCM แล้ว ยังมีการเก็บต้นฉบับในรูปแบบ DSD หรือที่รู้จักกันในหมู่มืออาชีพว่า 1-bit ซึ่งจะใช้หลักการ Pulse-density modulation (PDM) ในการเข้ารหัสสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นดิจิทัล ซึ่งการเข้ารหัสแบบนี้ได้ถูกใช้ใน Super Audio CD และภายหลังก็ถูกนำมาใช้เป็นรูปแบบเพลงสำหรับดาวน์โหลดทางอินเตอร์เน็ต
Sonoma ระบบ DAW สำหรับบันทึกและผสมเสียงในรูปแบบ DSD ทั้งกระบวนการ
ที่มาของต้นฉบับ DSD สามารถมาได้จากการบันทึกเสียงในรูปแบบ DSD ตั้งแต่ต้น การนำเทปรีลมาแปลง หรือแม้กระทั่งนำสัญญาณแบบ PCM ที่มีความละเอียดสูงมาก คือ 32-bit 384 kHz มาแปลงให้อยู่ในรูป DSD อีกที
ที่ต้องใช้สัญญาณ PCM แล้วค่อยมาแปลงเป็น DSD เป็นเพราะอุปกรณ์ประมวลผลเสียงแบบดิจิทัลรวมทั้งซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้งานกันในห้องอัดนั้นรองรับสัญญาณเสียงในรูปแบบ PCM เท่านั้น การบันทึกและผสมเสียงในรูปแบบ PCM นั่นช่วยให้วิศวกรทำงานได้สะดวกกว่านั่นเอง
Conclusion
จุดประสงค์ของคนที่หันมาฟังเพลงในรูปแบบ HRA อย่างหนึ่งคือ การได้ฟังเพลงที่ตัวเองชอบให้เหมือนกับเสียงของต้นฉบับมากที่สุด นี่คือสาเหตุว่าทำไมตัวต้นฉบับนั้นมีความสำคัญการไฟล์รูปแบบนี้มาก โดยเฉพาะกับคนที่มีซีดีเพลงนั้น ๆ แล้ว
ยกตัวอย่าง อัลบั้ม Toumei na Iro ของวง Nogizaka46 รูปแบบ HRA นั้น ใช้ต้นฉบับความละเอียด 16-bit 44.1 kHz มา remaster ใหม่ให้อยู่ในรูปแบบ HRA ซึ่งหมายความว่าเพลงอัลบั้มนี้ไม่ได้เป็นเพลงในรูปแบบ HRA ได้เลย เพราะแค่ข้อมูลเสียงเริ่มต้น ก็มีความถี่ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว และการ remaster ใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้ความถี่เสียงที่ไม่ถูกบันทึกไว้แต่แรกมันกลับมาได้ ถ้าเจอเพลงแบบนี้ หากมีแผ่นซีดีอยู่แล้ว ก็หลีกเลี่ยงที่จะซื้อแบบ HRA ใหม่อีกรอบดีกว่า
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าต้นฉบับจะเป็นอะไร ถ้าศิลปินและวิศวกรที่ผลิตเพลงออกมา ไม่พิถีพิถันในการทำงาน หรือไม่ดึงเอาประโยชน์ของรูปแบบไฟล์ดิจิทัลมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็ไม่อาจที่จะได้เพลงที่บันทึกเสียงออกมาดีได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตามครับ
Pingback: มาทำความรู้จัก รูปแบบสัญญาณเสียง Direct Stream Digital (DSD) กันเถอะ | RE.V –>