Performance
ในส่วนของการใช้งานนั้น ผมได้นำเจ้า VAIO Duo 13 มาใช้งานคู่กับ VAIO Duo 11 ของผม ซึ่งมีการใช้งานเป็นประจำอยู่แล้ว
เริ่มต้นจากตัวเครื่อง ที่ได้มีการเปลี่ยนวัสดุจากแมกนีเซียม + อลูมิเนียม มาเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ สัมผัสที่ได้รู้สึกได้ว่ามันมีความเป็นโลหะน้อยกว่ารุ่นที่แล้ว แต่ยังคงความรู้สึกที่แข็งแรงและการประกอบที่แน่นอยู่เหมือนเดิม ซึ่งความรู้สึกนี้ยังดีกว่า VAIO Pro ที่น้ำหนักเบามาก จนคิดว่ามันน่าจะไม่แข็งแรงหรือเปล่า
ตัวเครื่องที่ขึ้นรูปแบบ 3D Carbon ที่บริเวณท้ายจะโค้งหนาออกมา ช่วยให้การจับถือตัวเครื่องในแนวตั้งได้ถนัดขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไปติดในเรื่องของน้ำหนักและขนาดที่ยังจัดว่าหนักอยู่สำหรับการใช้งานเป็นแท็บเล็ต
ส่วนของหน้าจอที่ได้เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ TRILUMINOS for Mobile สีสันนั้นดูสดและสมจริงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ความสว่างของหน้าจอนั้นลดลงไปอยู่พอสมควร และไฟส่องหลังยังลอดออกมา สว่างฟุ้ง ๆ บริเวณขอบจอนิดหน่อย
สำหรับปัญหาที่สำคัญของหน้าจอ VAIO Duo 11 รุ่นที่แล้วคือ หน้าจอมีอาการภาพค้างชั่วคราว เนื่องจากเม็ดพิกเซลยังไม่ลืมสถานะการแสดงผลก่อนหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังการใช้งานไปสักประมาณ 3 – 4 เดือนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นกับ VAIO Duo 13 หรือเปล่า แต่เท่าที่ผมลองไปดูเครื่องเดโมตามหน้าร้าน ณ.เวลาที่เขียนรีวิว ยังไม่ปรากฏอาการที่ว่านี้ออกมา
ปิด X-Reality for Mobile
เปิด X-Reality for Mobile
นอกเหนือจากเทคโนโลยีในส่วนของฮาร์ดแวร์ Sony ยังได้ใส่ตัวประมวลผลภาพ X-Reality for Mobile แบบซอฟต์แวร์มาให้ ซึ่งเจ้านี้จะตรวจสอบลักษณะของภาพ แล้วปรับคุณภาพของการแสดงผลให้ดีขึ้น โดยทำการปรับสี ความคมชัด และลดน็อยซ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่ผมลองใช้งานดู ภาพวิดีโอนั้นดูชัด คม และสีสดขึ้น แต่ยังจัดการพวกน็อยซ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ดีเท่าไร และถ้าหากอยากประหยัดแบตเตอรี่ ก็สามารถสั่งปิดได้
อีกจุดที่น่าสนใจสำหรับส่วนจอภาพคือ เราสามารถปรับโหมดสีสำหรับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ได้แก่ Vivid ที่ให้สีสด Neutral ที่ให้สีสันตรงตามธรรมชาติ และ Text ที่จะปรับสีให้ออกไปทางเหลืองนวล เหมาะสำหรับการอ่านตัวอักษรเยอะ ๆ
สำหรับประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง VAIO Duo 13 นั้นได้คะแนน Windows Experience พอ ๆ กับรุ่นเดิม มีตรงส่วนกราฟฟิกที่ทำคะแนนออกมาได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามจากการใช้งานจริง เครื่องนั้นลื่นขึ้นอยู่พอสมควร แอพที่รันช้า ๆ บน VAIO Duo 11 เช่น Socialife รันบน Duo 13 ได้เร็วกว่า
ในส่วนของการแสตนด์บายเครื่อง ยังทำได้อย่างรวดเร็วเหมือนเดิม และรอบนี้ทาง Sony ได้ออกแบบให้ Duo 13 มีความสามารถ Connected Standby ของ Windows 8 คือทำให้ในช่วงแสตนด์บายนั้น คอมพิวเตอร์ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย เพื่อให้แอพที่รันอยู่ทำการสื่อสารกันได้อยู่ แต่ต้องแลกกับความสามารถ Rapid Wake ที่ช่วยให้เราแสตนด์บายเครื่องได้เหมือนกับการ Hibernation ปกติของ Windows ครับ
สำหรับการใช้งานปากกานั้น ยังคงประสิทธิภาพที่ไม่แตกต่างจากรุ่นเดิม (ปากกาของทั้งสองรุ่นสามารถสลับกันใช้ได้) คีย์บอร์ดก็ได้ปรับปรุงให้พิมพ์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ช่วงกดจะยังสั้นเท่าเดิมก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญหาเวลาพิมพ์ตัวอักษรไม่ติดหรือออกมาเกินแล้ว
ส่วนของทัชแพดที่ให้มาแทน Optical TrackPad ในรุ่นที่แล้ว การตอบสนองต่าง ๆ และการใช้ท่าทางนั้นโอเคทีเดียว แต่เนื่องจากพื้นที่ของทัชแพดน้อยมาก จึงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากทัชแพดมากเท่าไร บางความสามารถ เช่น การลากนิ้วจากขอบทัชแพดเข้ามา หรือการลาก 3 นิ้วพร้อมกัน ทำได้ยากมาก
เรื่องของเสียงนั้น ทาง Sony ได้เพิ่ม ClearAudio+ ซึ่งเป็นการปรับแต่ง EQ และเพิ่มเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ของ Sony เช่น S-FORCE Front Surround 3D, VPT, ฯลฯ เพื่อให้เสียงออกมาโดนใจผู้ฟังมากขึ้น โดยจะมี 2 โหมด คือ โหมด Music ที่จะเน้นเสียงแหลมให้คมขึ้น เสียงเบสดังกระหึ่มมากขึ้น และโฟกัสเสียงร้องให้อยู่ตรงกลาง และชัดเจน และโหมด Video ที่จะปรับโฟกัสเสียงพูดและเสียงเบสมาอยู่ตรงกลาง และเน้นเสียงพูดให้ดังชัดมากขึ้นสำหรับดูหนัง
และถ้าเสียงของ ClearAudio+ นั้นออกมายังไม่ถูกใจ ก็สามารถตั้ง EQ ใส่เอฟเฟกต์ ทั้งส่วนของลำโพงและหูฟังได้เอง โดยสามารถเก็บการตั้งค่าได้สูงสุด 2 ชุด ซึ่งเมื่อนำ ClearAudio+ มาใช้กับลำโพงที่ฟังบาง ๆ กลวง ๆ เน้นเสียงกลางเหมือนกับ Ultrabook ทั่ว ๆ ไป ก็ทำให้เสียงออกมาจากลำโพงนั้นดีขึ้นมาก จนน่าประทับใจ สำหรับแจ็คหูฟังนั้น ที่ไม่ได้มีการเพิ่มแอมป์ S-Master มาให้แล้วก็จริง แต่แนวเสียงโดยรวมก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่การปรับระดับเสียงของหูฟังจะทำได้ไม่ละเอียดเท่า และถ้าใช้หูฟังที่ไวต่อเสียงมาเสียบ ก็จะได้ยินเสียงน็อยซ์เบา ๆ
สำหรับกล้องที่ให้มากับตัวเครื่องนั้น กล้องหน้า 2 ล้านพิกเซลนั้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากรุ่นที่แล้ว แต่ส่วนกล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล นั้นความสามารถโดยรวมยังคล้าย ๆ กับกล้องเว็บแคมอยู่ คือมีออโต้โฟกัส แต่ก็ยังทำงานช้าและไม่ค่อยแม่น ภาพที่ได้ก็ยังเป็นไปด้วยน็อยซ์ สรุปคือคุณภาพพอใช้ แต่ยังสู้ภาพจากกล้องมือถือของ Sony เองไม่ได้ ก็ค่อนข้างเสียดายในจุดนี้อยู่เหมือนกัน
เรื่องความร้อนในการใช้งาน Sony ยังทำการบ้านตรงนี้มาดีเหมือนเดิม คือบริเวณที่ผู้ใช้ต้องไปแตะต้อง เช่น คีย์บอร์ด ตัวเครื่องส่วนล่าง แทบไม่มีความร้อนสูง ๆ เลย และพัดลมก็ทำงานได้ค่อนข้างเงียบเหมือนเดิม
เรื่องของแบตเตอรี่ จากที่ผมบอกในตอนต้นว่า Sony เอาบอร์ดส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายต่าง ๆ ย้ายไปใส่ด้านหลังของจอแทน ทำให้ตัวเครื่องมีพื้นที่ในการใส่แบตเตอรี่ได้ใหญ่ขึ้น จาก 38,480 mWh ใน Duo 11 เป็น 50,030 mWh และตัวเครื่องใช้ซีพียู Intel Core i รุ่นที่ 4 จึงทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น ผมใช้งานประมาณ 4 ชม. กว่า ๆ โดยมีการ sleep เครื่องบ้าง แบตเหลืออยู่ประมาณ 50% นับว่าดีขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว
ในส่วนของการแสตนด์บาย แบบ Connected Standby นั้น เครื่องสามารถทำได้สูงสุดประมาณเกือบ 3 วันครับ โดยที่แอพ Socialife ที่ผมแอบเปิดไว้ก็มีการอัพเดทข้อมูลให้อยู่ตลอดเวลาด้วย สำหรับการชาร์จไฟกลับเข้าแบตใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ครึ่ง จัดว่าค่อนข้างเร็วเหมือนกัน
สำหรับจุดอื่น ๆ ที่อยากพูดถึง ก็มีเรื่องของ Wireless LAN ที่ผมไม่แน่ใจว่า เพราะมีการเปลี่ยนยี่ห้อการ์ด Wi-Fi ใหม่ การออกแบบตัวเครื่อง หรือวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้การรับสัญญาณ Wi-Fi โดยเฉพาะความถี่ 5 GHz นั้นสู้ตัว Duo 11 ไม่ได้ การใช้งาน NFC ที่ย้ายตำแหน่งเสาอากาศไปอยู่ตรงกลางด้านบนตัวเครื่อง ทำให้การใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังยากอยู่เพราะน้ำหนักของเครื่อง และการแก้ปัญหาเรื่องของการไม่มีพอร์ต LAN ด้วยเราท์เตอร์ไร้สายขนาดเล็ก ซึ่งผมได้ลองใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันเข้าท่าดี แต่ต้องขอยกเจ้าเราท์เตอร์ตัวนี้ไปเขียนรีวิวแยกอีกตอนนึง
Conclusion
หลังจากที่ได้ใช้งานเจ้า VAIO Duo 13 คู่กับ VAIO Duo 11 ของผมมาเกือบ ๆ สามอาทิตย์ เจ้า VAIO Duo 13 ยังคงเป็นแล็ปท็อปแปลงร่างที่เหนือกว่าทั้งในด้านงานออกแบบ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่ให้มากับตัวเครื่อง ซึ่งทุกอย่างนั้นก็ทำงานสอดคล้องกันจนเป็นหนึ่งเดียว
แต่สำหรับคนใช้งาน VAIO Duo 11 รุ่นก่อนหน้า จะรู้สึกว่า VAIO Duo 13 นั้นขาด Wow Factor ที่มีในรุ่นก่อนหน้าอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมเข้าใจว่าตรงนี้เป็นเพราะ ตอนที่ Sony ทำ VAIO Duo ตัวแรกออกมา ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งใดบ้างที่ลูกค้าให้ความสำคัญ จึงต้องออกแบบจัดเต็มในทุก ๆ ส่วน พอทำตัวที่สองเริ่มจับทางถูก เลยเพิ่มจุดที่ลูกค้าชอบและลดในจุดที่ลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญมากลง เครื่องเลยออกมาเป็นแบบนี้ แต่ผมว่าการปรับบางอย่างก็ดูสวนทางไปหน่อย เช่น จอที่รองรับมัลติทัชได้ 5 จุด ทั้ง ๆ ที่ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น
สรุป คนที่กำลังมองหาแล็ปท็อปแปลงร่าง Windows 8 สักเครื่อง VAIO Duo 13 นั้นตอบโจทย์การใช้งานทุกด้าน ถ้าคุณไม่เคยใช้แล็ปท็อปแปลงร่างแบบนี้มาก่อน มาลองเล่นตัวนี้ คุณติดใจแน่นอนครับ
Like
- วัสดุ และงานประกอบเนี้ยบ
- จอ IPS เทคโนโลยี TRILUMINOS for Mobile ให้สีสันสมจริง สามารถปรับรูปแบบสีของหน้าจอได้เอง และ X-Reality for Mobile ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพวิดีโอ
- รองรับโหมด Connected Standby ของ Windows 8
- สัมผัสการพิมพ์ของคีย์บอร์ดจัดอยู่ในเกณฑ์ดี ถึงแม้ช่วงกดจะสั้น
- ที่เหน็บปากกาที่สามารถเรียกแอพเมื่อดึงปากกาออกมาได้
- ซอฟต์แวร์และแอพต่าง ๆ ที่ให้มามีประโยชน์ในการใช้งานร่วมกับเครื่อง เช่น Active Clip, Note Anytime และ CamScanner
- ระบบเสียง ClearAudio+ ที่ช่วยรีดความสามารถของลำโพงติดเครื่องได้ออกมาในเกณฑ์ดีมาก
- อายุแบตเตอรี่เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน และชาร์จไฟกลับได้เร็ว
Don’t like
- ขนาดและน้ำหนักยังไม่เหมาะกับการใช้งานเป็นแท็บเล็ต
- รองรับมัลติทัชเพียง 5 จุด
- ไฟส่องหลังหน้าจอลอดออกมาเล็กน้อย
- กล้องหลังคุณภาพยังไม่ดีเท่าที่หวังไว้
- แจ็คหูฟังไม่เงียบ
- Wireless LAN รับสัญญาณได้ไม่ดีเท่ารุ่นเดิม
- แอพ Album และ Music ยังไม่มีการปรับความสามารถให้เท่ากับแอพเดียวกับบน Xperia
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทาง Sony Thai ที่ให้ยืม VAIO Duo 13 มารีวิวด้วยครับ