ในตอนที่ 2 ของบทสัมภาษณ์คุณ Suyama Keita เจ้าของ FitEar บริษัททำหูฟัง CIEM เบอร์ 1 ของญี่ปุ่น จะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือกับ Fostex บริษัทเครื่องเสียงชั้นนำของญี่ปุ่น และการทำงานของหูฟังตัวขับผสมอย่าง Air, Air 2 และ Titan ครับ
ใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถตามลิ้งก์นี้ไปอ่านกันก่อนได้ครับ
ผมได้ยินคุณพูดถึงหูฟังรุ่น Air 2 ที่ใช้ตัวขับจาก Fostex เลยอยากจะทราบความเป็นมาของการร่วมมือกันระหว่าง Fostex กับทาง FitEar ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้างครับ
ได้เลยครับ ประมาณ 2010 ผมต้องการที่จะทำจุกหูฟัง custom ให้กับหูฟัง Sennheiser รุ่น CX200 ซึ่งเป็นหูฟังสอดหูที่ดีและมีราคาไม่แพง เป็นทางเลือกราคาถูกให้กับลูกค้า นอกจากหูฟัง CIEM ที่มีราคาสูง ผมเลยติดต่อ Foster Electric (บริษัทแม่ของ FOSTEX) ที่เป็นผู้ผลิต OEM ให้กับ Sennheiser ตอนนั้นพวกเขาตอบกลับมาว่าไม่สามารถทำได้ หลังจากนั้นคุณ Yamaguchi ซึ่งเป็นพนักงานของ Foster Electric ได้ติดต่อเข้ามาที่โรงงาน และเสนอชุดตัวขับไดนามิคสำหรับทำหูฟัง CIEM
ในปี 2014 พวกเขาได้เปลี่ยนใจ และตัดสินใจให้ชุดตัวขับไดนามิคแก่พวกเราไปทำหูฟัง CIEM เราจึงได้พัฒนาหูฟังตัวขับแบบผสม ซึ่งก็ได้กลายมาเป็นหูฟังรุ่น Air ที่เป็นหูฟังตัวขับแบบผสมตัวแรก และเปิดตัวในเดือนตุลาคม ปี 2015
ในตอนแรกผมตั้งใจที่จะทำหูฟัง CIEM โดยใช้ตัวขับแบบไดนามิคเพียงตัวเดียว แบบ full range ไม่มีปัญหาเรื่องเฟส และมีการตอบสนองที่ไว แต่ด้วยปัญหาทางอะคูสติกภายในช่องหู จึงเป็นไม่ได้ที่จะทำ ดังนั้น เราจึงต้องใช้ตัวขับ BA ร่วมกับชุดตัวขับไดนามิคขนาด 9 มม. เพื่อให้เสียงนั้นสมดุลขึ้นมา
พอเรื่องของสมดุลเสียงโอเค เราก็มาเจอปัญหาอื่น ซึ่งก็คือความดันอากาศภายในหู (วาดรูปช่องหู เยื่อแก้วหู และหูฟัง) ปกติเราจะทำตัวหูฟังยาวเข้ามาในบริเวณนี้ ทำให้มีพื้นที่ว่างระหว่างหูฟังและเยื่อแก้วหูอยู่เล็กน้อย ถ้าเราขับหูฟังแบบไดนามิคในพื้นที่เล็กแบบนี้ เมื่อไดอะแฟรมขยับไปทางด้านไหน ความดันอากาศด้านตรงข้ามดันไดอะแฟรมสวนกลับมา หากไดอะแฟรมมีความแข็งไม่พอ ก็จะถูกความดันอากาศดันจนไดอะแฟรมให้เป็นรูปโค้ง เมื่อเรานำชุดตัวขับแบบไดนามิคมาใช้งานในหูฟัง CIEM เราจึงต้องคำนึงถึงพื้นที่บริเวณนี้
หูฟังตัวขับแบบผสมส่วนมากจะมีช่องระบายอากาศแบบนี้ (วาดรูปท่อระบายอากาศลงในรูปหูฟัง) อากาศจะไหลเข้าและออกไปจากช่องนี้ ตามทิศทางการเคลื่อนไหวของไดอะแฟรม ทำให้การเคลื่อนไหวของไดอะแฟรมนั้นราบรื่นขึ้น แต่นั้นก็ทำให้การป้องกันเสียงภายนอกนั้นแย่ลง ซึ่งในผู้ผลิตเจ้าอื่นก็จะใช้ acoustic filter ปิดที่ช่องนี้ ส่วนเราเองนั้นให้ความสำคัญกับการป้องกันเสียงภายนอกเป็นอันดับแรก สาเหตุที่เราทำหูฟัง CIEM ก็เพราะ เพื่อให้ผู้ฟังมีสภาพแวดล้อมที่เงียบ จะได้สนุกกับการฟังเพลง การเพิ่มช่องอากาศเข้ามา จึงไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหาของเรา เราจึงต้องคิดหาวิธีการแก้ปัญหาอื่นในการแก้ปัญหานี้
ดังนั้น เราได้ทำการตัดส่วนปลายของตัวหูฟังออกแบบนี้ (ขีดเส้นลงไปในรูปหูฟังก่อนหน้า) ซึ่งก็คือ Short Leg Shell ก่อนหน้านี้เรามีพื้นที่ภายในช่องหูน้อยมาก แต่ตอนนี้เราสามารถเพิ่มพื้นที่ดังกล่าวได้ด้วย Short Leg Shell และเราก็มีความรู้ในการที่จะให้ตัวหูฟังเกาะอยู่กับหูได้ เราใช้ความนิ่มของบริเวณหูภายนอก เพื่อให้สามารถป้องกันเสียงจากภายนอกได้เพียงพอ ในขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมความดันอากาศได้โดยไม่ต้องใช้ช่องระบายอากาศด้วย
ผมอธิบายค่อนข้างยาวไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ส่วนในหูฟังรุ่น Air 2 และ Titan ที่เป็นหูฟัง Hybrid รุ่นที่ 2 ของเรานั้น ด้วย Short Leg Shell ทำให้เราสามารถควบคุมความดันภายในช่องหูได้ แต่เนื่องจากขนาดและรูปร่างของช่องหูแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากใครมีพื้นที่ภายในช่องหูเพียงพอเมื่อใส่ Short Leg Shell แล้ว ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่หากใครมีช่องหูที่เล็กมาก ๆ ก็จะมีพื้นที่ให้อากาศเคลื่อนไหวไม่พอในการรักษารูปร่างของไดอะแฟรมได้ พวกเขาเลยเคลมมาว่าเสียงของ FitEar Air นั้นไม่ดี ตอนนั้นพวกเรารู้สาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร แต่ยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้ ซึ่งเราก็ได้ไอเดียที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ในรุ่น Air 2 ครับ
หูฟัง Air 2 มีชุดตัวขับไดนามิค 2 ตัว แต่ไม่ได้จัดวางแบบนี้นะครับ (วาดรูปตัวขับแยกออกจากกัน) แต่จัดวางแบบนี้ครับ (วาดรูปตัวขับวางซ้อนกัน)
(คุณ Suyuma ไปหยิบแผ่นสติ๊กเกอร์ออกมา 2 แผ่น และวาดรูปช่องหูลงกระดาษ)
ที่นี้ เวลาไดอะแฟรมขยับเข้าไปทางเยื้อแก้วหู ไดอะแฟรมก็จะเว้าเข้าไป พอไดอะแฟรมขยับออกมา ไดอะแฟรมก็จะโค้งออก ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องให้ Short Leg Shell มาแก้ปัญหานี้ แต่ก็ยังแก้ปัญหาคนที่มีช่องหูเล็กได้
โอเค เราก็เลยเพิ่มไดอะแฟรมอีกชิ้นเข้ามา ซึ่งเมื่อไดอะแฟรมชิ้นแรกเคลื่อนเข้าไป ก็จะถูกแรงดันอากาศดันไดอะแฟรมให้เว้าเข้าไป ไดอะแฟรมชิ้นที่เพิ่มเข้ามา จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับไดอะแฟรมชิ้นแรก
คือเคลื่อนไหวขนานกันใช่ไหมครับ
ใช่ครับ ซึ่งเมื่อไดอะแฟรมชิ้นแรกมันเว้าเข้าไปแบบนี้ ไดอะแฟรมอีกชิ้นจะดันอากาศระหว่างไดอะแฟรมชิ้นแรกเข้าไป (ดัดสติ๊กเกอร์แผ่นแรกให้เป็นแผ่นตรง ๆ เหมือนเดิม)
ก็คือไดอะแฟรมก็จะกลับมาเป็นทรงปกติใช่ไหมครับ
ใช่ครับ จริง ๆ แล้วถ้าผมเพิ่มความแข็งเกรงของไดอะแฟรมชิ้นแรกให้เพียงพอ ก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่เสียงของหูฟังเองก็จะเปลี่ยนไป ด้วยวิธีนี้ก็จะยังทำให้เสียงเหมือนเดิมอยู่ ตัวผมเองต้องการทำหูฟัง CIEM ที่มีลักษณะเสียงแบบนี้ ก็เลยไม่ต้องการที่เปลี่ยนเสียงของตัวขับไดนามิคตัวนี้ ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ทำไดอะแฟรมให้หนาขึ้น แต่เพิ่มตัวขับไดนามิคอีกตัว ซึ่งเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันในเวลาที่พร้อมกัน (วาดรูปตัวขับลงในรูปช่องหูตอนแรก) และความดันอากาศระหว่างตัวขับทั้งสองจะทำหน้าที่ผลักและดึงไดอะแฟรมของตัวขับตัวแรกครับ
คุณ Suyama อธิบายได้ดีมากเลยครับ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าที่อธิบายไปจะเข้าใจได้ง่ายหรือเปล่าครับ
ไม่เลยครับ ปกติเท่าที่ผมค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับหูฟัง FitEar มา พบว่าทาง FitEar จะไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคของหูฟังออกมามากนัก การที่คุณ Suyama ได้มาอธิบายข้อมูลแบบนี้ ตัวผมเอง รวมถึงแฟน ๆ FitEar เองก็น่าจะดีใจที่ได้รู้ข้อมูลของหูฟังตัวเองมากขึ้นด้วยครับ ต้องขอบคุณมาก ๆ ครับ
ไม่เลยครับ ผมเป็นคนอธิบายอะไรไม่ค่อยเก่ง ต้องขอบคุณคุณที่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อด้วยครับ
บทสัมภาษณ์ระหว่าง RE.V-> กับคุณ Suyama ในตอนหน้า ซึ่งน่าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ก็จะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับ High Resolution Audio และโครงการดี ๆ ของทาง FitEar อย่าง Safe Listening และสาวน้อยมาสค็อตของโครงการอย่าง Monet-chan แฟน ๆ FitEar อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ
ขอขอบคุณ Jaben Thailand ที่ให้โอกาสช่วยประสานงานการสัมภาษณ์ครั้งนี้ด้วยครับ