มาทำความรู้จัก Mastered for iTunes กันเถอะ

master-for-itunes

ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นร้านขายเพลงออนไลน์ต่าง ๆ เริ่มนำไฟล์เพลงแบบความละเอียดสูงหรือ Hi-Res มาขายกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ร้านขายเพลงออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดคือ iTunes ของ Apple เอง ก็ได้มีการขายเพลงในรูปแบบ Mastered for iTunes ออกมา

หลาย ๆ คนสงสัยว่า Mastered for iTunes นั้นมันจะแตกต่างจากไฟล์เพลงที่ iTunes ขายปกติและไฟล์เพลงแบบ Hi-Res กันอย่างไร เราจะมาทำความรู้จักกับ Master for iTunes กันให้มากขึ้นครับ

How music album is created

Sony MDR-CD900CBS

ก่อนที่เราจะพูดถึงเจ้า Mastered for iTunes เราควรจะทราบขั้นตอนการผลิตเพลง ว่าเขามีขั้นตอนอย่างไรคร่าว ๆ กันก่อน

Recording หรือการบันทึกเสียง หลังจากที่ได้มีการแต่งเพลงเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำการบันทึกเสียงตามเพลงที่ได้แต่งเอาไว้

Mixing หรือการผสมเสียง หลังจากเราอัดเสียงจากนักร้องและเครื่องดนตรีหลาย ๆ ชิ้นแล้ว เราจะต้องนำเสียงเหล่านั้นมาผสมกันให้กลายเป็นเพลง ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็จะมีการปรับแต่งเสียงต่าง ๆ เพื่อให้เป็นเพลงออกมา เช่น การแพนเครื่องดนตรีไปยังตำแหน่งต่าง ๆ การใส่เอฟเฟกต์เสียง หรือแม้กระทั่งการปรับแก้เสียงต่าง ๆ ที่อัดเข้ามา เป็นต้น

Mastering หรือการทำทำต้นฉบับ หลังจากที่เราได้เพลงจากการ Mixing มาแล้ว เราจะต้องมีการปรับเพลงดังกล่าวอีกครั้ง เพื่อนำไปเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ  ซึ่งการเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ นั้นก็จะมีคุณลักษณะและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น ถ้าเราต้องการนำเพลงไปใส่ Audio CD ก็จะต้องปรับความละเอียดของเพลงให้อยู่ที่ 16 bit 44.1 kHz ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ การนำเพลงไปใส่ในสื่อแบบอนาล็อก จะต้องปรับระดับเสียงให้ดัง เพื่อให้ได้ค่า Signal to Noise Ratio (SNR) มาก ๆ

นอกจากการปรับแต่งเพลงให้เข้ากับสื่อเผยแพร่แล้ว ยังต้องมีการปรับแต่เพลงตามจุดประสงค์การใช้งานด้วย เช่น การฟังเพลงจากหูฟังและเครื่องเล่นพกพา การฟังเพลงจากลำโพงและชุดเครื่องเสียง การนำเพลงไปเปิดที่สถานีวิทยุ การนำเพลงไปเปิดในผับ ฯลฯ ตัวเพลงที่ออกมาจะต้องมีความสม่ำเสมอกันและตรงความต้องการของเจ้าของงาน โดยส่วนมากวิศวกรจะทดสอบเพลงที่ผ่านการปรับแต่งแล้ว ด้วยการนำไปลองฟังผ่านอุปกรณ์หลาย ๆ แบบในสถานการณ์ที่ต่างกัน เพื่อเช็คว่าสิ่งที่ปรับแต่งไปมันมาถูกทางหรือไม่

ซึ่งขั้นตอน Mastering นี้เอง เป็นขั้นตอนที่เจ้า Mastered for iTunes เข้ามาเกี่ยวข้องครับ

What’s Mastered for iTunes

mfit-get-info

Mastered for iTunes นั้นคือแนวทางการ Mastering ที่ทาง Apple นั้นได้กำหนดไว้ สำหรับเพลงที่จะทำการเผยแพร่ผ่านทาง iTunes ซึ่งถ้าเพลงที่ส่งเข้ามานั้นทำตามแนวทางที่กำหนดไว้ ทาง Apple ก็จะทำการรับรองและโฆษณาเพลงนี้ว่าเป็น MFiT หรือเพลงที่ทำต้นฉบับมาสำหรับเผยแพร่ทาง iTunes โดยเฉพาะครับ

แนวทางที่ทาง Apple กำหนดไว้ ณ.วันที่เขียนบทความ มีดังนี้

1. ไฟล์ต้นฉบับที่ส่งเข้ามา ต้องอยู่ในรูปแบบความละเอียดสูงที่มากกว่า 16 bit 44.1 kHz ซึ่งทาง Apple ได้แนะนำไว้ที่ 24 bit 96 kHz ซึ่งเป็นรูปแบบมาตรฐานที่ใช้งานกันในห้องอัดอยู่แล้ว

การที่ Apple ขอไฟล์เพลงที่มีความละเอียดสูงมาเพราะ ตัวเข้ารหัสไฟล์ AAC ของ Apple นั้นได้มีการปรับปรุงใหม่ ในช่วงที่ทาง Apple เปิดตัวไฟล์รูปแบบ iTunes Plus ซึ่งใช้การบีบอัดไฟล์ในรูปแบบ AAC เดิม แต่เพิ่มบิตเรทจาก 128 kbps เป็น 256 kbps ครับ

ตัวเข้ารหัสแบบใหม่จะทำงานเป็นสองขั้นตอน ขั้นตอนแรกการแปลงอัตราสุ่มสัญญาณ (sample rate) จากไฟล์ต้นฉบับลงมาเหลือ 44.1 kHz ซึ่งนอกเหนือจากการแปลงอัตราสุ่มสัญญาณแล้ว ไฟล์ที่ออกมายังอยู่ในรูปแบบความละเอียดที่ 32 bit floating point อีกด้วย เพื่อคง dynamic range ของไฟล์ต้นฉบับสำหรับการเข้ารหัสไฟล์เป็น AAC ในขั้นตอนถัดไป

ในขั้นตอนการเข้ารหัสไฟล์ AAC นั้น แทนที่จะต้องทำการลดความละเอียดของไฟล์ลงเป็น 16 bit ด้วยการ dithering หรือการเติม noise เข้าไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเพี้ยนของสัญญาณเสียงก่อนการเข้ารหัส ก็จะทำการเข้ารหัสไฟล์ที่ความละเอียด 32 bit floating point เลย ทำให้ตัวเข้ารหัสสามารถใช้ข้อมูลจากไฟล์ต้นฉบับมาบีบอัดไฟล์เพลงได้อย่างเต็มที่ และทำให้การเข้ารหัสนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะไม่ต้องสนใจ noise ที่เติมเพื่อทำ dithering นั้นเอง

itunes-plus

2. ทำต้นฉบับสำหรับไฟล์รูปแบบ iTunes Plus เนื่องจากไฟล์เพลงรูปแบบนี้มีขนาดเล็ก พกพาง่าย จึงถูกนำไปใช้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การฟังเพลงบน iDevice ด้วยหูฟังที่มากับอุปกรณ์ การฟังเพลงผ่านลำโพง AirPlay ฯลฯ วิศวกรที่ทำต้นฉบับจะต้องปรับแต่งเสียงโดยคำนึงถึงจุดนี้ด้วย ซึ่งทาง Apple เองก็ได้จัดเตรียมโปรแกรมสำหรับเข้ารหัสไฟล์ AAC และโปรแกรมที่ช่วยในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเสียงให้แล้ว

mfit-afclip

ช่วงสัญญาณที่ Clipping จะแสดงอยู่ส่วนล่าง

3. ระวังช่วงความต่างของระดับความดังเสียงและเสียงที่ดังเกินไป ในการทำต้นฉบับนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงคือความดัง (Gain) ความต่างของระดับความดัง (Dynamic range) และเสียงที่ดังเกินไป จนทำให้เกิดความเพี้ยน (Clipping) วิศวกรที่ทำต้นฉบับจะต้องไม่เร่งความดังของเสียงมากจนเกินไป จนทำให้เกิด Clipping ขึ้น ซึ่งระดับความดังมากที่สุดของเสียงในรูปแบบดิจิตอลคือ 0 dBFS

นอกจะต้องเผื่อความต่างของระดับความดังไว้ด้วย เพราะในอุปกรณ์บางตัวอาจจะมีการทำ oversampling เพื่อเพิ่มคุณภาพของสัญญาณตอนแปลงสัญญาณในรูปดิจิตอลเป็นอนาล็อก ทำให้สัญญาณเกิดการ Clipping ในช่วงระหว่างนี้ได้

สำหรับไฟล์ต้นฉบับที่มีการ Clipping เกิดขึ้น จะไม่ผ่านเกณฑ์ของ Mastered for iTunes ถึงแม้ว่าทาง Apple จะยังรับต้นฉบับนี้เอาไว้ก็ตาม แน่นอนว่า Apple ก็ได้ออกโปรแกรมสำหรับตรวจเช็ค Dynamic range และ Clipping ให้ตรวจสอบไฟล์ก่อนส่งด้วยครับ

4. ทำต้นฉบับสำหรับ Sound Check และเทคโนโลยีควบคุมระดับเสียงอื่น ๆ ในโปรแกรม iTunes และอุปกรณ์ iDevices ต่าง ๆ จะมีความสามารถที่เรียกว่า Sound Check ที่ช่วยปรับระดับเสียงของเพลงแต่ละเพลงให้ดังเท่ากัน โดย Sound Check จะทำการเช็คระดับความดังของเพลงแล้วเก็บใน Metadata เอาไว้ เมื่อทำการเล่นเพลงดังกล่าว โปรแกรมก็จะทำการปรับระดับเสียงตามข้อมูลที่ได้รับมา

วิศวกรจะต้องระวังว่า ถ้าหากปรับแต่งเพลงให้มีระดับความดังมาก ๆ เมื่อเพลงนั้น ๆ ถูกลดระดับความดังลงมา ก็จะทำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงแปลกปลอมหรือสัญญาณที่เพี้ยนได้

5. การทำต้นฉบับใหม่ (Remastered) สำหรับ iTunes ในการทำต้นฉบับใหม่นั้น ทาง Apple ไม่ได้ระบุแนวทางอะไรไว้มากนัก เพียงแต่ข้อให้ยึดตามแนวทางการทำต้นฉบับเหมือนกับการทำเพลงใหม่ และแนะนำให้ใช้ต้นฉบับสำหรับการทำ Super Audio CD หรือ DVD Audio หากได้มีการทำไว้ในอดีต เพราะเหมาะแก่การนำแปลงให้อยู่ในรูปแบบความละเอียดสูง

mfit-sterlingsound

Sterling Sound สตูดิโอที่ช่วย Apple ในการวางแนวทางการทำต้นฉบับ ได้รับการรับรอง Mastered for iTunes เจ้าแรก

ทั้ง 5 ข้อนี้คือแนวทางที่ทาง Apple ได้ให้ไว้แก่ผู้ที่ต้องการให้เพลงที่จะขายได้การรับรอง Mastered for iTunes ส่วนในขั้นตอนการส่งต้นฉบับนั้น จะต้องส่งผ่าน Music Aggregator ที่ได้รับการรับรองจากทาง Apple แต่ก็ไม่รับรองว่าจะผ่านการพิจารณาจากทาง Apple หรือไม่ ซึ่งหากต้นฉบับนั้นได้ถูก master โดยสตูดิโอหรือวิศวกรที่ผ่านการรับรอง Mastered for iTunes ก็จะมีโอกาสที่ได้การรับรองมากขึ้น

Conclusion

จากที่เขียนมาข้างบน ก็พอจะสรุปได้ว่า เพลงที่ได้การรับรอง Mastered for iTunes นั้นจะเข้ารหัสจากไฟล์ความละเอียดสูง ปราศจากเสียงเพี้ยน และปรับแต่งมาให้เข้ากับการเล่นจากโปรแกรม iTunes และอุปกรณ์ iDevice ต่าง ๆ  ก็น่าจะช่วยคลายข้อสงสัยให้หลาย ๆ คนเข้าใจกันมากขึ้นว่าทำไมเพลงที่เป็น Mastered for iTunes บางครั้งเสียงมันถึงออกมาดีกว่าซีดีเพลงปกติ ทั้ง ๆ ที่เพลงถูกเข้ารหัสแบบ lossy ก็ตาม

ใครที่เคยได้ฟังเพลงที่เป็น Mastered for iTunes แล้ว ก็สามารถมาคอมเมนต์กันได้นะครับ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างเมื่อเทียบกับไฟล์เพลงแบบปกติครับ

More info

Apple

JustMastering.com

7 thoughts on “มาทำความรู้จัก Mastered for iTunes กันเถอะ

  1. Pingback: ใจป้ำ ! Apple จับมือ U2 แจกเพลงอัลบั้มใหม่ของวงฟรี

  2. Pingback: มาทำความรู้จัก รูปแบบสัญญาณเสียง Digital แบบ PCM กันเถอะ

  3. Pingback: มาทำความรู้จัก รูปแบบสัญญาณเสียง Digital แบบ PCM กันเถอะ | RE.V –>

  4. Mark Messmer

    ขอโทษนะครับ คืออ่านผ่านๆอาจจะไม่เห็น สรุปว่า CD Audio กับ Mastered for ITunes เสียงดีเท่ากันไหมครับ

    Reply
    1. AT1987 Post author

      ผมคิดว่าคำจำกัดความเสียงดีของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ผมคงไม่สามารถบอกว่าระหว่าง Audio CD กับ MFiT อะไรเสียงดีกว่าได้ครับ

      แต่ถ้ามองในแง่ทางเทคนิค เช่น codec ที่ใช้ แน่นอนว่า Audio CD ย่อมดีกว่า เพราะเป็นสัญญาณ LPCM ที่ไม่ได้บีบอัด หรือการนำไปเล่นบน iPhone เพลง MFiT อาจจะดีกว่า เพราะผู้ผลิตอาจจะทำ master พิเศษที่เหมาะสมให้ เป็นต้นครับ

      Reply
  5. Pingback: ไขข้อสงสัยคุณภาพเสียง Hi-Resolution Lossless ของ Apple Music | RE.V –>

Leave a Reply