สวัสดีครับ เนื่องจากช่วงอาทิตย์ที่แล้ว ผมได้รับคำเชิญจากทางเซลล์ของ Libratone ให้ไปลองฟังลำโพงไร้สายที่ใช้เทคโนโลยี AirPlay ของทางบริษัท ซึ่งตอนนี้เป็นที่กล่าวขวัญในต่างประเทศกันเยอะมาก ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร และเสียงที่ทำออกมาสู้ได้กับลำโพงไร้สาย AirPlay จากค่ายพันธมิตรหลักของทาง Apple อย่าง B&W ได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งเจ้าลำโพงตัวนี้นั้นก็คือ Libratone Live นั้นเอง
ก่อนที่เราจะไปดูเจ้า Libratone Live ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ Libratone กันก่อน
Libratone เป็นบริษัท Start Up จากประเทศเดนมาร์ก ที่เน้นในการทำลำโพงแบบไร้สาย โดยเจ้าของบริษัท Jes Mosgaard นั้นเคยเป็น CEO ของบริษัท Lyngdorf ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องเสียง Hi-Fi ก่อนที่จะไปร่วมกับบริษัทผู้ผลิตเปียโนระดับโลก Steinway & Sons ในการออกแบบเครื่องเสียงร่วมกัน จนกลายเป็นบริษัท Steinway Lyngdorf ซึ่งตัวเขาเองก็ได้เป็น CTO ของบริษัทนี้ ก่อนที่จะออกมาเปิดบริษัท Libratone ครับ
เพราะฉะนั้นถึงจะเป็นเพียงบริษัท Start Up แต่เจ้าของและทีมงานนั้นเป็นผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเครื่องเสียงอยู่แล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็คงไม่ปล่อยให้คุณภาพเสียงออกมาขี้ริ้วขี่เหร่แน่นอน
Package
เนื่องจากตอนที่ผมไปลองฟังลำโพงกับเซลล์มันดึกแล้ว และแนวเพลงที่ผมฟังนั้นเป็นคนละแนวกับเซลล์ เซลล์ก็เลยให้ลำโพงผมมาลองฟังที่บ้านแทน ทำให้ไม่มีกล่องติดมาด้วย นอกจากถุงผ้าที่ใส่ตัวลำโพงมาแค่นั้น
สายไฟหัวปลั๊ก UK และคู่มือการติดตั้ง ในกล่องขายจริงตอนนี้จะมีสายไฟหัวกลม Europlug ให้มาด้วย
Product
ตัวลำโพงจัดว่าค่อนข้างใหญ่ เมื่อเทียบกับลำโพง AirPlay เจ้าอื่น สูง 47 ซม.กว้าง 19.5 ซม. ลึก 15 ซม. หนัก 6.5 กก. มุมขวาจะมีปุ่มสีขาวและไฟสถานะรูปนกไนติงเกลซึ่งเป็นโลโก้ของ Libratone
ทาง Libratone ตั้งใจให้ลำโพงของพวกเขานั้นเป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนึงในบ้าน เวลามีใครมาบ้านเห็นลำโพงก็จะนึกว่ามันคือตู้สวย ๆ อะไรสักอย่าง จนกระทั่งมีเสียงออกมาจากตัวมันนี้แหละ จึงเลือกใช้วัสดุในการทำลำโพงให้เหมือนกับเฟอร์นิเจอร์หรู ๆ ทั้งไม้ โลหะชุบ และผ้าขนสัตว์ที่ทอในเมืองฟลอเรนซ์
ด้านหลังเรียบง่ายมาก มีเพียงแจ็ค 3.5 มม. รองรับการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบ Analog และแบบดิจิตอล Mini-TOSLINK ปุ่มเปิด – ปิดลำโพง และแจ็คสำหรับเสียบสายไฟ
ด้านล่าง เป็นผิวยางกันลื่น (สภาพโทรมนิดนึง เพราะทางเซลล์เอาไปเดโมให้ตัวแทนจำหน่ายในหลาย ๆ ประเทศ)
Pingback: RE.V-> 2012 Roundup