เมื่ออาทิตย์ที่แล้วทาง ASUS ได้จัดงานเพื่อเปิดตัวสมาร์ทโฟนราคาประหยัดรุ่นล่าสุดตระกูล ZenFone ผมเลยได้มีโอกาสลองจับ ลองใช้งานเจ้า ZenFone ทั้ง 3 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ต้องมาติดตามอ่านกันครับ
สำหรับสมาร์ทโฟนตระกูล ZenFone ของ ASUS นี้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสายสมาร์ทโฟนราคาประหยัด แต่ก็ไม่ละทิ้งงานออกแบบและงานผลิตไปเลย ทั้งการใช้ส่วนของโลหะขัดลายเดียวกับแล็ปท็อป ZenBook กระจก Gorilla Glass 3 จาก Corning เคลือบกันรอยนิ้วมือ ซึ่งเมื่อจับถือเครื่องทุกเครื่องแล้ว ให้ความรู้สึกว่าไม่ใช่ของถูกแน่นอน
ส่วนตัวของฮาร์ดแวร์นั้น ASUS จัดให้แบบเต็ม ๆ ทั้งหน้าจอสัมผัสที่มีความไวสูง พร้อมค่าตอบสนองที่เร็วถึง 60 ms (รุ่น ZenFone 5 และ6) เสาอากาศโทรศัพท์แบบคู่ (อยู่ตำแหน่งส่วนบนและล่างของเครื่อง) การรองรับ 3G แบบ Quad Band สามารถใส่ Micro SIM ได้ถึงสองใบ
เริ่มการดูเครื่องจริงจากน้องเล็ก ZenFone 4 ที่ใช้หน้าจอ TFT ขนาด 4″ ความละเอียด 800 x 400 พิกเซล กล้องหน้า 0.3 ความละเอียด 0.3 ล้านพิกเซล
กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รองรับ Autofocus ตัวเครื่องด้านหลังโค้งมน เพื่อให้รับเข้ากับฝามือ และไม่บังลำโพงด้านหลัง ฝาหลังสามารถถอดได้ เพื่อใส่ SIM และเปลี่ยนแบตเตอรี่ความจุ 1,200 mAh ได้
พี่กลาง ZenFone 5 ใช้หน้าจอ IPS ขนาด 5″ ความละเอียด 1280 x 720 กล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ขนาด 2,110 mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้
กล้องหลังใช้เซนเซอร์ BSI CMOS จาก Sony ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ประกบคู่กับชุดเลนส์จาก Largan ซึ่งประกอบด้วยชิ้นเลนส์ 5 ชิ้นและ IR Filter แถมมีรูรับแสงกว้างถึง F/2.0
นอกจากนี้ ASUS ยังได้พัฒนาชุดเทคโนโลยีการถ่ายภาพ PixelMaster ซึ่งมีความสามารถอย่างการถ่ายภาพชัดตื้น การเริ่มบันทึกภาพทันทีก่อนกดชัตเตอร์ 2 วินาที แต่ที่น่าสนใจมากสุดคือ Low Light Mode ที่ช่วยให้สามารถ่ายภาพในสถานที่ที่มีความสว่างน้อยกว่า 1 lux ได้
พี่ใหญ่ ZenFone 6 ใช้หน้าจอ IPS ขนาด 6″ ความละเอียด 1280 x 720 กล้องหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล แบตเตอรี่ขนาด 3,300 mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้
กล้องหลังใช้เซนเซอร์ SmartFSI CMOS จาก Panasonic ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ประกบคู่กับเลนส์จาก Largan ตัวเดียวกับ ZenFone 5 แน่นอนว่ามีเทคโนโลยี Pixel Master ของทาง ASUS ด้วย
ในงานได้มีจัดสถานที่ให้ทดสอบ Low Light Mode ของเทคโนโลยีกล้อง PixelMaster ด้วย ซึ่งโหมดนี้จะทำงานโดยการสร้างภาพ 1 พิกเซลด้วยพิกเซลต่อกัน 4 พิกเซลบนเซนเซอร์และอัลกอริทึมพิเศษ ทำให้กล้องมีความไวแสงมากขึ้น 4 เท่า กำจัดสัญญาณได้ดีขึ้น 4 เท่า และให้ค่าความต่างสีดีขึ้น 2 เท่า
ผมลองใช้ ZenFone 6 ที่ทาง ASUS เตรียมไว้ ก็เรียกได้ว่าเห็นผลแบบชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามในการถ่ายภาพนิ่งนั้น แอพกล้องจะตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ไว้น้อย ถ้าถือไม่นิ่ง ภาพที่ได้อาจจะเบลอไปบ้างเหมือนกัน
สำหรับสเปกของ ZenFone ทั้ง 3 จะใช้หน่วยประมวลผล Intel Atom Multi-Core ซึ่ง ZenFone 4 และ 5 จะใช้รุ่น Z2520 ความเร็ว 1.2 GHz ส่วน ZenFone 6 จะใช้รุ่น Z2580 ความเร็ว 2.0 GHz
ส่วน RAM และหน่วยความจำภายใน จะให้มา 1 / 8 GB ในรุ่น ZenFone 4 และ 5 และ 2 / 16 GB สำหรับ ZenFone 6 ทุกรุ่นสามารถเพิ่มหน่วยความจำได้ด้วยการ์ด MicroSD สูงสุดถึง 64 GB
ในส่วนของภาคซอฟต์แวร์นั้น ZenFone จะใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (สามารถอัพเกรดเป็น 4.4 ในอนาคต) พร้อมอินเตอร์เฟส Zen UI และแอพ Zen Experience ที่ช่วยเพิ่มเติมประสบการณ์ใช้งานให้สะดวกขึ้น
ความสามารถเด่น ๆ นั้นก็จะมีการแจ้งเตือนนัดหมาย การจดบันทึกเตือนความจำที่ทำได้อย่างง่ายได้ การแชร์ไฟล์ให้กับสมาร์ทโฟนอื่น ๆ ผ่าน Wi-Fi Direct การควบคุมโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ผ่าน Bluetooth และการควบคุม ZenFone ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ ASUS ยังได้ออก View Flip Cover สำหรับคนที่อยากได้ฝาปิดหน้าจออีกด้วย
สรุปแล้ว ผมคิดว่าสมาร์ทโฟนตระกูล ZenFone จัดว่าน่าสนใจเหมือนกัน เพราะมีงานออกแบบที่ดูดี วัสดุดูแข็งแรง ความเร็วในการใช้งานรวดเร็วทันใจ และมีฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างที่มีในสมาร์ทโฟนเรือธงของคู่แข่ง ถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าก็ตาม แต่พอดูราคาแล้ว ก็จัดว่าคุ้มค่าทีเดียว