รีวิว KORG DS-DAC-100 เมื่อผู้ผลิตเครื่องดนตรีไฟฟ้าชั้นนำ หันมาทำเครื่องเสียงบ้าน

KORG DS-DAC-100

กระแสของ High Resolution Audio เริ่มมาแรงมากในช่วงปีที่แล้ว หลาย ๆ บริษัทได้แข่งกันออกสินค้าสู่ตลาดมากมาย รวมถึงในกลุ่มของแอมป์หูฟังและ USB DAC ที่ออกกันมาเยอะมากจนลองฟังกันไม่หวั่นไม่ไหว

วันนี้ RE.V-> เราจึงขอนำ USB DAC ถอดรหัส DSD จาก KORG ผู้ผลิตเครื่องดนตรีไฟฟ้าและเครื่องเสียงระดับมืออาชีพชั้นนำมารีวิวกันครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า KORG ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีไฟฟ้า ทำไมถึงหันมาทำเครื่องเสียง โดยเฉพาะ DAC ถอดรหัส DSD ที่เรียกว่าปราบเซียนบริษัทเครื่องเสียงอื่น ๆ มาหลายรายแล้ว

ต้องย้อนไปก่อนว่า เมื่อตอนมาตรฐาน DSD ซึ่งเข้ารหัสสัญญาณเสียงในรูปแบบ PDM หรือ Pulse-density modulation แบบ 1 bit เกิดขึ้นนั้น KORG เองก็เป็นบริษัทแรก ๆ ที่เข้ามาสนับสนุนมาตรฐานนี้ และออกสินค้าเกี่ยวกับ DSD ออกมามากมาย แต่ส่วนมากจะเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องอัดเสียงสำหรับมืออาชีพ ตระกูล MR

นอกจากนี้โปรแกรม AudioGate ที่ทาง KORG ออกมาเพื่อเอาไว้สำหรับการแปลงไฟล์ DSD เป็นไฟล์เสียงในรูปแบบที่ใช้งานทั่วไป โดยคงคุณภาพของต้นฉบับไว้ได้ ยังได้รับความนิยมในกลุ่มนักฟังเพลงแบบ DSD สำหรับการแปลงไฟล์ DSD ไปเล่นยังอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่รองรับอีกด้วย

korg-ds-dac-10

ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา กระแสไฟล์เพลงแบบ DSD เริ่มได้รับความนิยมอีกครั้ง KORG เองเลยลองยั่งเชิงกับวงการเครื่องเสียงด้วยการส่ง DS-DAC-10 ซึ่งเป็น USB DAC ถอดรหัส DSD รุ่นแรกในประเทศญี่ปุ่น แถมยังได้ร่วมมือกับผู้ผลิตหูฟังอย่าง PHONON ออกหูฟัง SMB-02 รุ่นออกแบบเป็นพิเศษให้กับ DAC ของตนเองอีกด้วย

เมื่อได้กระแสผลตอบรับที่ดีจากเหล่าผู้ฟัง KORG จึงเดินหน้าออก USB DAC รุ่นใหม่นั้นคือ DS-DAC-100 และ DS-DAC-100m พร้อมกับซอฟต์แวร์ AudioGate 3ที่ออกแบบมาสำหรับการฟังเพลงโดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เป็นการเข้ามาในวงการนี้อย่างเต็มตัวครั้งแรกของบริษัทครับ

Package

KORG DS-DAC-100

กล่องสินค้ามาในรูปแบบเรียบง่ายเหมือนกับกล่องสินค้าเครื่องดนตรีของเขา แต่ปรับให้ดูดีมีระดับสำหรับลูกค้ากลุ่มเล่นเครื่องเสียง

KORG DS-DAC-100

ด้านล่างไม่มีรายละเอียดอะไร นอกจากรูปลายเส้นของตัวเครื่อง

KORG DS-DAC-100

ภายในกล่องจะมีตัว DAC ห่อในแผ่นโฟม สาย USB A – B และฐานรองตัวเครื่อง

Product – Hardware

KORG DS-DAC-100

ตัวเครื่องออกแบบให้มีรูปทรงแตกต่างจากเครื่องเสียงทั่ว ๆ ไปมาก วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องเป็นโลหะขัดผิวทรายสวยงาม งานประกอบและลูกบิดทำออกมาได้คุณภาพมาก สมกับที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น

KORG DS-DAC-100

ด้านหน้า เป็นตำแหน่งของแจ็คหูฟังขนาด  1/4 นิ้ว กำลังขับสูงสุด 85 W ที่ 32 โอห์ม ปุ่มหมุนปรับความดังของเสียง และไฟสถานะ sample rate ของตัวเครื่อง

KORG DS-DAC-100

ด้านหลัง แจ็ค USB type B สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และจ่ายไฟ แจ็คสัญญาณขาออก RCA แบบ Unbalanced สำหรับต่อเครื่องเสียงทั่วไป และ แจ็ค XLR แบบ Balanced สำหรับต่อเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ

KORG DS-DAC-100

ขารองของตัวเครื่องเป็นแบบ spike เพื่อลดแรงสั่นสะเทือน

KORG DS-DAC-100

ถ้าจะไม่วางขา spike ลงกับพื้นโดยตรง ก็สามารถวางบนขารองได้ ซึ่งเขาจะทำเบ้ารองรับไว้ ส่วนด้านล่างจะติดวัสดุกันลื่นเอาไว้

korg-ds-dac-100-inside

สำหรับสเปกภายใน DS-DAC-100 ใช้ชิป DAC เบอร์ CS4398 จาก Cirrus Logic ซึ่งเป็นชิ้นส่วนตัวเดียวกับที่ใช้ในเครื่องอัดรุ่นเรือธง MR-1000 ของตนเอง CS4398 รองรับการแปลงสัญญาณ PCM สูงสุดถึง 24 bit 192 kHz และ DSD ที่อัตราสุ่มสัญญาณที่ 2.8 MHz และ 5.6 MHz

ในการเชื่อมต่อ USB จะเป็นแบบ Asynchronous คือใช้ clock จากภายในตัวเครื่องเอง เพื่อลด Jitter ส่วนตัวเครื่องจะใช้ไฟจากสาย USB เพื่อหลีกหลีกชิ้นส่วนที่ทำให้เกิดสัญญาณรบกวนกับตัวเครื่อง

Product – Software

KORG AudioGate 3

เพื่อให้การทำงานของ DS-DAC-100 สมบูรณ์มากขึ้น KORG จึงได้ออกแบบโปรแกรม AudioGate ใหม่ ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุดคือ AudioGate 3 ก็ได้ผันตัวเองจากโปรแกรมที่ใช้แปลงไฟล์ ตัดต่อ ไรท์แผ่นสำหรับ DSD มาเป็นโปรแกรมเล่นเพลงอย่างสมบูรณ์แบบ

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือการเพิ่มเติมส่วนของ Library เพื่อใช้ในการจัดการไฟล์เพลง และการปรับหน้าตาให้เหมาะกับการใช้งานฟังเพลงมากขึ้น

korg-audiogate-data-flow

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับโปรแกรม AudioGate คือตัวโปรแกรมสามารถช่วย DAC คำนวณการแปลงสัญญาณจากดิจิตอลเป็นอนาล็อก โดยทำการแปลงสัญญาณด้วยตัวโปรแกรมก่อน แล้วส่งให้ DAC ทำหน้าที่เพียงแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอนาล็อกเพียงอย่างเดียว เพื่อคงคุณภาพของสัญญาณต้นฉบับเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ในการใช้งานจริงนั้น เราสามารถที่จะสั่งให้โปรแกรมเปลี่ยน sample rate ให้ตรงกับไฟล์เพลงที่เล่นก็ได้ หรือจะให้โปรแกรมทำการแปลงสัญญาณก่อน ซึ่งสามารถเลือกคุณภาพการแปลงสัญญาณได้ แต่ก็ต้องแน่ใจว่าคอมพิวเตอร์ที่ลงโปรแกรมนั้นแรงพอที่จะทำการแปลงสัญญาณได้

Set up

KORG AudioGate 3

สำหรับการติดตั้งก็ไม่ยาก เพียงลงไดร์เวอร์ของ DAC และโปรแกรม AudioGate ที่โหลดได้จากเว็บไซต์ของ KORG จากนั้นเสียบ DAC เข้ากับคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดโปรแกรม AudioGate เพื่อ activate โปรแกรม หากไม่ได้ activate โปรแกรมจะเข้าสู่เวอร์ชั่น lite ซึ่งจะรองรับ sample rate ไม่เกิน 48 kHz และไม่สามารถเลือกโหมดการแปลงสัญญาณแบบคุณภาพสูงได้

KORG AudioGate 3

ในการตั้งค่าของ AudioGate นั้น ถ้าต้องการใช้งานการถอดรหัส DSD ต้องเลือกใช้ไดร์เวอร์แบบ ASIO ซึ่งสำหรับการตั้งค่า latency นั้น ในคู่มือให้ตั้งค่า buffer ให้มากที่สุด เพื่อให้การถอดรหัสเสียงนั้นไม่สะดุด

Performance

KORG DS-DAC-100

จริง ๆ แล้วก่อนที่ผมจะรีวิวเจ้า DS-DAC-100 อย่างจริง ๆ จัง ๆ ผมได้มีโอกาสลองฟังเสียงของเจ้านี้คู่กับหูฟัง Ultrasone Edition 8 ในงานของ OTOTOY มาแล้ว ซึ่งตอนนั้นยังรู้สึกแปลกใจกับแนวเสียงของมันเมื่อเทียบกับเครื่องเสียงชุดอื่น ๆ ในงาน แต่พอได้มีโอกาสฟังอีกครั้งด้วยหูฟังที่ใช้งานประจำ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแนวเสียงของมันแปลกกว่าชาวบ้านเขา

ในการใช้งานจริง ผมได้ขนหูฟังที่ผมใช้งานประจำมาลองเสียง ทั้ง MDR-CD900ST, MDR-Z1000 และ MDR-1RBT ซึ่งกำลังขับของ DS-DAC-100 นั้นมีเหลือเฟือมากที่จะขับหูฟังเหล่านี้ ผมบิดความดังเสียงเพียง 1/4 ก็ได้ระดับเสียงที่ดังแล้ว

เรื่องแนวเสียงของ KORG นั้น ผมรู้สึกว่ามาในแนวเสียงของอุปกรณ์อัดเสียง ซึ่งเน้นในเรื่องของการเก็บรายละเอียดของเสียงให้ครบทุกเม็ดอย่างเที่ยงตรงที่สุด แน่นอนว่าเวลาเอามาเล่นกลับ ก็ต้องเล่นเสียงที่อัดมาให้ครบถ้วนเช่นกัน ซึ่งก็ค่อนข้างสวนทางกับแนวเสียงของเครื่องเสียงบ้านที่เน้นการฟังสบาย ๆ โปร่ง ๆ หรือเน้นความอุ่นหนาของเสียงอยู่เหมือนกัน

ซึ่งตรงจุดนี้ผมได้ยินชัดเจนมากจากช่วงเสียงแหลม ซึ่งออกมาในลักษณะใส ๆ คม ๆ ทำให้ได้ยินรายละเอียดของเสียงมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเอาหูฟังที่รองรับความถี่สูง ๆ มาฟัง จะได้ยินตรงจุดนี้ชัดเจนมาก ซึ่งผมว่าถ้าใครที่ชอบฟังเพลงแล้วเน้นการได้ยินรายละเอียดของเสียงน่าจะถูกใจได้ไม่ยาก

ส่วนการใช้งานส่วนของ Line out นั้น ผมได้นำไปต่อกับแอมป์ Aura VA100 จับคู่กับลำโพง B&W Matrix 805 ก็ได้แนวเสียงที่เหมือนกับการฟังด้วยหูฟังเช่นกัน

สำหรับโปรแกรม AudioGate 3 ที่ออกแบบมาให้ใช้งานคู่กันนั้น การใช้งานจัดว่าตรงไปตรงมาดี ไม่ซับซ้อนอะไร ส่วนเรื่องการให้ตัวโปรแกรมช่วยคำนวณการแปลงสัญญาณ ซึงผมเลือกให้แปลงเป็น DSD 5.2 MHz เมื่อเที่ยบกับการไม่แปลง เสียงที่ได้ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างอะไรมากนัก แต่ถ้าให้เทียบกับโปรแกรมเล่นเพลงยอดนิยมตัวอื่น ๆ เช่น foobar2000 เสียงจาก AudioGate 3 นั้นดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ตัว AudioGate 3 เองก็ยังมีบักอยู่ เช่น การไม่สามารถอ่านข้อมูลเพลงที่อยู่ในรูปแบบภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษได้ ซึ่งก็คงต้องรอให้ทาง KORG ออกอัพเดทตัวโปรแกรมออกมาอีกที ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ออกแพชมาแก้ปัญหาอื่น ๆ ไปเมื่อไม่นานมานี้

Conclusion

KORG DS-DAC-100

จากที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้า KORG DS-DAC-100 มาเกือบ 2 อาทิตย์ ยอมรับว่าผมหลงรักในเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของมันมาก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพื้นแพของ KORG เองที่เป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรีและเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ เลยทำให้ได้เสียงที่น่าจะถูกใจนักฟังที่เน้นการฟังรายละเอียดของเสียงในเพลง หรือต้องการฟังเพลงให้ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เหล่าคนผลิตเพลงต้องการมากที่สุด

เรื่องวัสดุ งานออกแบบ และงานผลิตก็ทำออกมาได้ดีมาก สมกับงานผลิตในประเทศญี่ปุ่น ส่วนโปรแกรม AudioGate นี้ก็สมคำร่ำลือครับ เยี่ยมยอดจริง ๆ ถึงแม้การแปลงสัญญาณจะกินกำลังคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเยอะ และในเวอร์ชั่นใหม่ยังมีบักให้รำคาญใจเล่น แต่ก็ไม่กระทบต่อการใช้งานมากนัก

สรุป ใครที่กำลังมองหา DAC ที่ถอดรหัส DSD ได้พร้อมแอมป์หูฟังเพื่อนำไปใช้งานกับหูฟังที่มีอยู่ หรือต้องการ DAC เพื่อนำไปต่อกับชุดเครื่องเสียงบ้านที่มีอยู่แล้ว KORG DS-DAC-100 จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง ในราคาที่คุ้มค่าครับ

Like

  • หน้าตาแหวกแนวไม่เหมือนใคร
  • วัสดุและงานประกอบดีมาก
  • แนวเสียงที่เน้นเรื่องของการแสดงรายละเอียดเสียง

Don’t like

  • โปรแกรม AudioGate 3 ยังมีบักที่สร้างความรำคาญใจอยู่บ้าง

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทาง Music Concept ตัวแทนนำเข้าสินค้าของ KORG ที่เอื้อเฟื้อให้ทางเราได้ยืมอุปกรณ์เพื่อทำการรีวิวครับ

More info

KORG

ปล. ใครที่กำลังสนใจน้องเล็ก DS-DAC-100m โปรดคอยติดตามอ่านกันรีวิวกันได้เร็ว ๆ นี้ครับ

One thought on “รีวิว KORG DS-DAC-100 เมื่อผู้ผลิตเครื่องดนตรีไฟฟ้าชั้นนำ หันมาทำเครื่องเสียงบ้าน

  1. Pingback: รีวิว USB DAC น้องเล็ก กล้ามโต KORG DS-DAC-100m

Leave a Reply